รู้จักกับ อากิระ นิชิโนะ โค้ชญี่ปุ่นคนแรกที่พาฟุตบอลทีมชาติไทยก้าวไกล

หากใครที่ติดตามวงการฟุตบอลทีมชาติไทยมาโดยตลอด คุณคงจะพอสังเกตได้ว่าทีมชาติไทยได้จ้างโค้ชต่างประเทศมาหลายต่อหลายประเทศ ซึ่งจุดมุ่งหมายก็มีเพียงสิ่งเดียวคือการสร้างความเก่งกาจให้กับนักเตะลูกหนังทีมชาติไทย ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ เยอรมัน บราซิล แต่ละชาติที่จ้างมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นชาติที่ขึ้นชื่อว่าเก่งเรื่องฟุตบอลด้วยกันทั้งสิ้น แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทีมชาติไทยเริ่มเปลี่ยนจากการเลือกโค้ชแถบประเทศตะวันตกเป็นโค้ชจากทวีปเอเชีย เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะว่า โค้ชเอเชียเข้าใจสรีระของนักเล่นฟุตบอลทีมชาติไทย พื้นความรู้และรูปแบบการครองเกมก็เข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี รวมถึงโค้ชคนล่าสุด นิชิโนะ อากิระ ที่แม้จะครองตำแหน่งโค้ชมาไม่นาน แต่กลับดึงกระแสความสนใจจากคนรักบอลไทยเป็นอย่างยิ่ง

กว่าจะก้าวมาเป็นโค้ชทีมชาติไทย นิชิโนะ อากิระ ผ่านอะไรมาบ้าง

นิชิโนะ เริ่มต้นบทบาทของการเป็นโค้ชด้วยการคุมทีมชาติญี่ปุ่นรุ่นเยาวชน ซึ่งเขาก็สามารถพิสูจน์บทบาทการคุมทีมได้เป็นอย่างดี ผลงานที่สร้างชื่อให้กับเขามาจากการคุมทีมชาติญี่ปุ่นรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ก็คือการเอาชนะทีมสหรัฐอาหรับเอมิเรตต์ สำหรับการชิงที่ 3 ของเกมส์การแข่งขันฟีฟ่า เวิลด์ ยูธ แชมเปียนชิพ 3 – 0 คว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันกลับมา แม้เขาจะสามารถทำหน้าที่โค้ชทีมเยาวชนญี่ปุ่นต่อไปได้ แต่นิชิโนะกลับเลือกที่จะคุมทีมชาติรุ่นใหญ่เพื่อเก็บประสบการณ์ จนกลับมาคุมทีมเยาวชนอีกครั้ง ครั้งนี้เขาสามารถพาทีมเยาวชนญี่ปุ่นเอาชนะบราซิลไป 1 – 0 ชื่อของเขาถูกจารึกในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลญี่ปุ่น จากนั้นเขากลับเปลี่ยนเส้นทางไปคุมทีมสโมสรในญี่ปุ่นแทน ต่อมาชีวิตโค้ชของเขาก็ได้พาเขากลับมาคุมทีมชาติญี่ปุ่นอีกครั้ง ครั้งนี้เขาพาญี่ปุ่นเข้าสู่รอบน็อกเอาท์ของฟุตบอลโลก 2018 และล่าสุด เขาได้เซ็นสัญญากับทีมชาติไทยโดยคุมทั้งทีมชาติชุดใหญ่และทีมชุดเยาวชนอายุไม่เกิน 23 ปี

สร้างผลงานเลื่องชื่อไทยเอาชนะสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ครั้งแรกในรอบ 15 ปี

จากผลงานล่าสุดที่ทีมชาติไทยเอาชนะสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ 2 – 1 จนเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม จี จากการคัดเลือก 16 ทีมสุดท้ายเข้าสู่บอลโลก 2022 ความน่าทึ่งของสถิตินี้คือเป็นครั้งแรกในรอบสิบห้าปีที่ไทยเราเอาชนะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ โดยครั้งล่าสุดนั้นเกิดในปี 2004 เรียกได้ว่า จากผลงานครั้งนี้เองที่ทำให้แฟนบอลหลาย ๆ คนชื่นชม

ต้องบอกเลยว่าเส้นทางของโค้ชผู้นี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และที่สำคัญผลงานของความสำเร็จล้วนแล้วแต่มาจากความพยายาม มุ่งมั่นและเอาใจใส่ทั้งสิ้น เราในฐานะแฟนบอลทีมชาติไทยที่อยากลุ้นให้บอลไทยไปไกลถึงบอลโลกก็คงได้แต่เอาใจช่วยว่านิชิโนะ อากิระจะทำได้สำเร็จในครั้งนี้

คิปโชเก้ ชายผู้ก้าวข้ามขีดจำกัดการวิ่งของมนุษย์ได้

หากเอ่ยถึงข่าวคราวในวงการการวิ่งที่โด่งดังในรอบสัปดาห์มากที่สุด คงหนีไม่พ้นข่าวของชายผู้หนึ่ง ที่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ไปได้อย่างน่าทึ่ง กับการวิ่งมาราธอนทำลายสถิติโลก แน่นอนว่าจากสิ่งที่เขาทำในวันนั้น ส่งผลให้ชื่อของเขาถูกจารึกในวันนี้ แม้ว่าสถิตินี้ไม่ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการ แต่สถิติจะได้รับการบันทึกในใจของมวลมนุษยชาติแน่นอน

คิปโชเก้ กับการวิ่งมาราธอนรายการพิเศษ

สำหรับรายการวิ่งที่ทำให้คิปโชเก้ได้รับการรู้จักและยกนิ้วให้กับ “ความอึด” อันดับหนึ่งของโลกก็คือรายการวิ่งมาราธอนพิเศษที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรเลีย โดยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมานี้ เขาคือคนแรกที่สามารถวิ่งในระยะทางมาราธอน 42.195 กิโลเมตร ในระยะเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 59 นาที 40.2 วินาที การจัดวิ่งมาราธอนครั้งนี้จัดที่สวนสาธารณะเพรเตอร์ปาร์ค ในรายการนี้มีนักวิ่งเข้าร่วมมากถึง 41 คน

รู้จักกับคิปโชเก้ให้มากขึ้น

อ่านมาจนถึงตอนนี้แล้ว คุณคงสงสัยใช่หรือไม่ ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครมาจากไหน เพราะอะไรจึงมีความอึดและปอดที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก คิปโชเก้เป็นชาวเคนยา ซึ่งเราเองต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า สรีระและร่างกายของนักวิ่งแถบประเทศแอฟริกาเป็นสรีระที่เอื้ออำนวยให้วิ่งเร็ว มีมัดกล้ามเนื้อที่ไม่มากเหมือนนักวิ่งยุโรป แต่ในขณะเดียวกัน ช่วงขาเองก็ยาวจนการก้าวแต่ละครั้งไกลและได้เปรียบนักวิ่งจากทวีปเอเชีย นอกจากสรีระจะได้เปรียบนักวิ่งจากทั่วโลกแล้ว ประเทศเคนยาก็ยังเป็นประเทศที่ระบบขนส่งสาธารณะยังไม่สะดวกมากนัก ส่งผลให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ต้องใช้การเดินเป็นหลักนับแต่เล็กจนโต จึงอาจกล่าวได้ว่า “ประสบการณ์” หล่อหลอมให้แข็งแกร่งก็คงไม่ผิดนัก

รู้จักกับการวิ่งมาราธอน

สำหรับการวิ่งมาราธอนคือการวิ่งแข่งขันในระยะยาว ส่วนใหญ่จะมีการวิ่งบนถนน หรืออาจจะวนรอบสนามกีฬา สวนสาธารณะตามแต่ผู้จัดการวิ่งสะดวก การแข่งขันวิ่งมาราธอนมีระยะทาง 42.195 กิโลเมตร ประวัติการวิ่งมาราธอนมาจากทหารชาวกรีกวิ่งเพื่อการรบจากเมืองมาราธอน ไปยังเมืองเอเธนส์ ซึ่งด้วยชื่อของเมืองอันเป็นจุดเริ่มต้นนี้เอง ที่ทำให้ “มาราธอน” เป็นชื่อเรียกขานการวิ่งระยะยาว

การวิ่งมาราธอน ต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ ด้านเพื่อมุ่งไปจุดหมาย นอกจากสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง ทั้งการหายใจ และกล้ามเนื้อ การวิ่งมาราธอนคือการต่อสู้ของจิตใจอย่างแท้จริง คือการต่อสู้กับความทรมานของร่างกาย ยามที่ร่างกายก้าวขาไม่ออก ยามที่หายใจแทบไม่ทัน แต่หากวิ่งได้สำเร็จจะรู้สึกภาคภูมิใจมาก ซึ่งปัจจุบันการจัดงานวิ่งมาราธอนก็มีหลายงานในประเทศไทย

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง มาฝึกวิ่งตั้งแต่วันนี้จะดีกว่าไหม นอกจากจะได้สุขภาพที่ดีแล้ว ยังได้ของแถมเป็นความภาคภูมิใจ ไม่แน่ว่าคนทำลายสถิติโลกคนต่อไปอาจเป็นคุณก็ได้

ธนัชชา สุขสด สาวนักตบลูกยางไทยที่ไปไกลถึงแดนปลาดิบ

ต้องบอกเลยว่ากระแสกีฬาของประเทศไทยกำลังมาแรง นอกจากฟุตบอลไทยแล้วยังมีกีฬาวอลเลย์บอลอีกหนึ่งชนิดกีฬา ที่มีแฟน ๆ ตามเอาใจช่วยอยู่ แน่นอนว่าแม้ในอดีตวอลเลย์บอลไทยอาจไม่โด่งดังสักเท่าไรนัก แต่ปัจจุบันวอลเลย์บอลไทยก็ไม่น้อยหน้าใคร ซึ่งวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับธนัชชา สุขสด สาวนักตบลูกยางของไทย ที่ไปไกลถึงแดนปลาดิบ เธอเป็นใคร มาจากไหน และอะไรที่ทำให้เธอไปไกลถึงญี่ปุ่นได้ มาดูไปพร้อม ๆ กัน

ธนัชชา สุขสดกับเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ธนัชชา สุขสด เป็นลูกสาวของคุณครูสอนพลศึกษา จึงไม่น่าแปลกใจที่เธอจะฉายแววนักกีฬามาตั้งแต่เด็ก เธอเริ่มต้นเล่นวอลเลย์บอลที่จังหวัดชุมพร เมื่ออายุ 9 -10 ปี เธอย้ายตามแม่มาเรียนต่อที่โรงเรียนวัดแจ้งร้อน กรุงเทพมหานคร  ที่โรงเรียนแห่งนี้ เธอเริ่มต้นเรียนวอลเลย์บอลอย่างจริงจัง ทั้งการฝึกที่โรงเรียนอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ ฝึกทักษะวอลเลย์บอลอย่างไม่ย่อท้อ นอกจากนี้เธอยังกลับมากระโดดเชือกที่บ้านทุกวัน วันละ 1,000 ครั้ง หลังจากนั้น เธอจึงเข้าศึกษาต่อที่สตรีนนทบุรี เพื่อความก้าวไกลไปยังการเป็นนักวอลเลย์บอลมืออาชีพ โดยเธอก็ทำสำเร็จ เพราะได้ติดหนึ่งในผู้เก็บตัวของทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี แม้มองเผิน ๆ จะดูว่าเส้นทางการเป็นนักวอลเลย์บอลของเธอช่างง่ายแสนง่าย จนดูราวกับโปรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่อุปสรรคก็เข้ามาในชีวิตของเธอจนได้ เพราะช่วงที่เธอเก็บตัว เธอได้รับบาดเจ็บจากการกระโดดจนข้อเท้าพลิก ทำให้เธอต้องพักฟื้นนานร่วมปี และไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลอีกร่วมปี เธอกลับไปเรียนที่ชุมพร พักฟื้นทั้งร่างกายและจิตใจ จนในที่สุดปี 2018 เธอตัดสินใจเดินตามความฝันอีกครั้ง และก็ทำสำเร็จด้วยการเป็นกัปตันทีมรายการ U19 ชิงแชมป์เอเชีย

จากวอลเลย์บอลไทย ไปไกลถึงญี่ปุ่น

จากผลงานที่ผ่านมาอันโดดเด่นของเธอ ทำให้เมื่อ 23 ส.ค. 62 ทีมวอลเลย์บอล Generali Supreme VC ซึ่งเป็นทีมวอลเลย์บอลชื่อเสียงโด่งดังของประเทศไทย ได้ตัดสินใจปล่อยตัวธนัชชา สุขสด ซึ่งเป็นนักตบวอลเลย์บอลทีมชาติไทยชุด U – 29 ให้ไปร่วมทัพกับทีม PFU BlueCats ทีมใน V Premier League Division 1 ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งโค้ชของทีม PFU BlueCats ได้ดูฝีมือการเล่นธนัชชา สุขสด แล้วตัดสินใจอยากให้เธอไปฝึกซ้อมกับทีม แม้จะเป็นเวลา 15 วันแต่ก็เป็นประสบการณ์อันทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับคนไทยเป็นอย่างดี

จะเห็นได้ว่าเส้นทางการเป็นนักวอลเลย์บอลของเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้เธอจะเติบโตจากครอบครัวคุณครูสอนพลศึกษา ได้รับการฝึกซ้อมมาตั้งแต่เด็กก็ตาม แต่ชีวิตของมนุษย์ต้องมีอุปสรรคมาทดสอบเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น เธอบาดเจ็บจนไม่ได้เข้าสนามวอลเลย์บอลร่วมปี หากเป็นคนอื่นอาจจะท้อแท้และออกจากวงการนี้ไป แต่ธนัชชา สุขสด กลับไม่ย่อท้อ ตัดสินใจกลับเข้าวงการวอลเลย์บอลใหม่ และประสบความสำเร็จในที่สุด

นิติพงษ์ เสลานนท์ หนุ่มนักเตะที่หลาย ๆ คนจับตามอง

ต้องบอกกันก่อนเลยว่า ทีมชาติไทยภายใต้การนำของโค้ชนิชิโนะ อากิระ เป็นทีมชาติไทยที่แฟนบอลภาคภูมิใจอย่างมาก นอกจากความเก่งกาจจนหลาย ๆ คนยกนิ้วให้แล้ว นักบอลทุกคนเองยังมีทั้งทักษะทางการเล่นบอลที่ไม่ว่าใครได้ชมต่างก็รู้สึกชื่นชอบนั่นเอง และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หนึ่งในนักเตะที่มีบทบาทในการทำประตูของเกมทีมชาติไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตต์ก็คือหนุ่มนักเตะแข้งทอง นิติพงษ์ เสลานนท์

หนุ่มนักเตะที่ยึดตำแหน่งแบ็คขวาอย่างคงเส้นคงวา

หากใครที่ติดตามวงการฟุตบอลไทย คงจะรู้จักกับนิติพงษ์ เสลานนท์ ในฐานะของแบ็คขวาของทีมสระบุรี เอฟซี บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และการท่าเรือ ซึ่งจากผลงานที่ผ่านมาของเขา ทำให้แฟนบอลรู้จักกับเขาเป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลาย ๆ คนต่างรู้คือนิติพงษ์มักถูกมองข้ามให้ลงทีมชาติไทย ซึ่งที่เขาถูกมองข้ามนั้นเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมา ชั่วโมงบินของเขายังน้อยอยู่บวกกับนักเตะตำแหน่งแบ็คขวานั้นมีหลายตัวเลือก หรือหากจะพูดอีกทีอาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาของนิติพงษ์ก็ได้ แต่ถึงแม้จะยังไม่ใช่วันของเขา แต่นิติพงษ์เองก็ยังตั้งอกตั้งใจเดินทางในเส้นทางสายฟุตบอล ด้วยความรักในอาชีพของตนเอง และรอว่าสักวันหนึ่ง จะมีคนที่ไม่มองข้ามความเก่งของเขาไป

การมาถึงของนิชิโนะ อากิระ

ด้วยผลงานของเขาที่โดดเด่นกับการเล่นให้กับสโมสรการท่าเรือ ทำให้แฟนบอลเริ่มจับตามอง และมีกระแสเรียกร้อง ต้องการให้นิติพงษ์ ติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ วันเวลาที่เขารอคอยมาถึงในที่สุด เพราะการมาถึงของนิชิโนะ อากิระ นั่นเอง นิติพงษ์ ถูกคัดชื่อเข้ามาติดทีมชาติไทยชุดคัดเลือกฟุตบอลโลก ในโซนเอเชีย ซึ่งสองเกมแรก นิติพงษ์ยังไม่ได้ลงสนาม แต่ในเกมที่ไทยเล่นกับคองโก นิติพงษ์ก็ได้เล่นจนจบเกมเลยทีเดียว แม้ว่าเกมที่เขาได้ลงเล่นจะเป็นแค่เพียงเกมอุ่นเครื่อง แต่เขาก็พยายามทำอย่างเต็มที่ โดยเขาสามารถเปิดบอลได้หลายครั้ง และในที่สุดเขาก็ได้รับโอกาสในเกมที่ไทยเจอกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตต์ ที่นิชิโนะ อากิระตัดสินใจเลือกนิติพงษ์เป็นแบ็คขวา ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง โดยในนาทีที่ 51 เขาเองได้เปิดบอลจากฝั่งขวา ให้เอกนิษฐ์ ปัญญา ยิงเข้าประตู ทำให้ไทยเป็นฝ่ายชนะ

จะเห็นได้ว่าโอกาส ไม่ได้มาถึงง่าย ๆ สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือการอดทนรอคอยจนกว่าจะถึงวันที่ใฝ่ฝัน ในวัย 26 ปีของนิติพงษ์ หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าเขาหมดโอกาสที่จะโด่งดังในทีมชาติไทยชุดใหญ่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้เอาคำสบประมาทมาเป็นอุปสรรคให้ฟอร์มการเล่นตกลงไป ตรงกันข้าม เขายังทุ่มเททำสิ่งที่เขารัก จนวันนี้เขามาถึงจุดที่ตัวเองใฝ่ฝัน

ดาวรุ่งของนักเตะทีมชาติไทย…เอกนิษฐ์ ปัญญา

หากใครที่ติดตามข่าวสารวงการกีฬาคงจะเห็นกันแล้วว่า ทีมชาติไทยโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นจากเกมแข่งขันกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตต์ โดยสามารถเอาชนะทีมชั้นนำของเอเชียได้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสำเร็จของทีมชาติไทยนี้ นอกจากจะเป็นเพราะฝีมือการคุมทีมของนิชิโนะแล้ว ยังมาจากฝีมือของดาวรุ่งทีมชาติไทยอย่าง เอกนิษฐ์ ปัญญานั่นเอง เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใคร มาจากไหน หลาย ๆ คนคงจะเริ่มสงสัยกันแล้วใช่หรือไม่ วันนี้เรามาดูไปพร้อม ๆ กัน

จากเด็กหนุ่มจังหวัดเชียงราย มาเป็นนักเตะทีมชาติไทย

ใครจะรู้เลยว่า เอกนิษฐ์ ปัญญา ดาวเด่นจากเกมของทีมชาติไทยพบกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตต์นั้นมีบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงราย เขาเติบโตมาในจังหวัดเล็ก ๆ เหนือสุดของประเทศ พ่อแม่ทำอาชีพร้านก๋วยเตี๋ยว ที่เป็นรายได้หลักของทางบ้าน ซึ่งตัวเขาเอง นอกจากจะช่วยที่บ้านแล้ว ก็ยังใช้ฟุตบอลเป็นงานอดิเรก เป็นเพื่อนแก้เหงา และเป็นแรงบันดาลใจ เขาสามารถเข้าเรียนที่โรงเรียน อบจ. เชียงรายได้ก็เพราะว่าใช้โควตานักฟุตบอลนั่นเอง หลังจากนั้นเขาก็พยายามพัฒนาฝีมือเพื่อให้เข้าไปเล่นในทีมสโมสรเชียงราย ยูไนเต็ด ซึ่งในที่สุดก็ทำสำเร็จและสามารถเป็นหนึ่งในรุ่น U – 14 ได้ ซึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้เขามีความมุ่งมั่นก็คืออันเดรส อิเนียสต้านั่นเอง

ความสามารถของเขามากเกินวัย เพราะเขาสามารถเข้าสู่ทีมของจังหวัดเชียงรายด้วยวัยเพียง 15 ปี และเขายังเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่สามารถสร้างสถิติใหม่ในการยิงประตูของไทยลีกได้อีกด้วย ซึ่งในตอนนั้นเขาอายุเพียง 15 ปี 11 เดือน เป็นเกมการเล่นระหว่างเชียงรายกับเอสซี เมืองทองในปี 2015

ติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ในวัย 19 ปี

ด้วยผลงานอันโดดเด่นและน่าสนใจของเขา ทำให้โค้ชอย่างนิชิโนะ อากิระเล็งเห็นถึงศักยภาพ และทำให้เขาได้เข้ามาอยู่ในทีมชาติชุดใหญ่ด้วยอายุ 19 ปี แรกทีเดียว หลายคนมองว่าโค้ชต้องการให้เขามาเก็บประสบการณ์แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ทว่าดาวรุ่งอย่างเอกนิษฐ์กลับมีชื่อติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ และในนัดที่ชนะสหรัฐอาหรับ เอมิเรตต์ เขาก็เป็นคนสำคัญที่ทำประตูให้กับทีมชาติไทยและคว้าชัยชนะมาสู่ประเทศไทยได้ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าจะสามารถเป็นคนยิงประตูในทีมชาติชุดใหญ่ได้ หลังจากจบเกมนี้ก็ทำให้แฟนบอลไทย กล่าวขานถึงชื่อของเขาและยกนิ้วให้กับฝีมือที่เกินอายุ

ด้วยอายุที่ไม่มาก บวกกับฝีเท้าที่สามารถไปได้ไกล พร้อมกับความมุ่งมั่นของเอกนิษฐ์ทำให้หลาย ๆ คนเชื่อมั่นว่าหลังจากนี้เขาจะเป็นดาวเด่นของทีมชาติ และจะเป็นหนึ่งในนักเตะตัวหลักของทีมชาติไทยอย่างแน่นอน ซึ่งเราเองในฐานะคนไทยคนหนึ่งก็ให้กำลังใจหนุ่มนักเตะคนนี้ได้ง่าย ๆ ด้วยการตามเชียร์ทุกนัดของเขานั่นเอง

Manchester United มีโอกาสคว้า Fernandes มาครองได้สูง หลังจาก Spurs ขอถอนตัวไปแล้ว

Manchester United พบว่าโอกาสเซ็นสัญญากับ Borges Fernandes ตำแหน่ง Midfielder แห่ง Sporting Lisbon เข้ามาเสริมกำลังทัพสูงขึ้น โดยหลังจากที่ Tottenham Hotspur ที่ถอนตัวออกจากการคว้าแข้งรายนี้แล้ว ทาง Daily Mail สื่อชื่อดัง ได้รายงานว่า มีทีมจากอังกฤษหลายทีม ที่ต้องการ Borges Fernandes ในช่วงเปิดตลาดซื้อขายซัมเมอร์นี้ โดยทางต้นสังกัดเอง ก็ตั้งเป้าเรียกร้องค่าตัว 50 ล้านปอนด์ จึงทำให้ทาง Spurs ถอดใจล้มเลิกความตั้งใจนักแตะรายนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Manchester United พร้อมทุ่มเงินเพื่อนักแตะที่หมายตา

หาแต่ในขณะเดียวกันทีมอื่น ๆ อย่าง Liver Pool ก็ไม่มีประสงค์ที่จะเสริมผู้เล่นในตำแหน่งนี้อยู่แล้ว และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Manchester United มีโอกาสสูงมาก ที่จะสามารถดึงตัว Midfielder วัย 24 ปีรายนี้ไปร่วมทีมได้เป็นผลสำเร็จ ตรงตามความตั้งใจของกุนซือ Ole Gunnar Solskjaer ซึ่งต้องการกองกลางตัวใหม่จำนวน 2 คน โดยแบ่งออกเป็นฝ่ายรับ 1 คน และฝ่ายสร้างสรรค์เกมให้มีความน่าสนใจ แพรวพราวอีก 1 คน

สำหรับ Manchester United นั้น ก็ยังให้ความสนใจ ในตัวผู้เล่นแดนกลางคนอื่น ๆ อีกหลายคน เช่น Sean Longstaff แห่ง Newcastle United อยู่ด้วย ซึ่งก็ต้องพิจารณากันต่อไป

Manchester United มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม Sean Longstaff สามารถคว้ามาได้ด้วย 25 ล้านปอนด์

โดย Manchester United มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อเสนอค่าตัวจำนวน 25 ล้านปอนด์ เป็นจำนวนเงินที่เพียงพอ ซึ่งสามารถทำให้ Newcastle United ยอมปล่อยตัว Sean Longstaff  นักแตะหนุ่มวัย 21 ออกมาในช่วงซัมเมอร์นี้

สำนักข่าว Mirror กล่าวว่า กำลังเร่งไล่ล่าผู้เล่นคนใหม่รายที่ 2 ต่อจาก Daniel James ที่พึ่งซื้อมาจาก Swan City โดยพุ่งเป้าไปยัง Sean Longstaff  ซึ่งผู้จัดการทีมชื่อดังอย่าง Ole Gunnar Solskjaer เชื่อว่านี่คือนักเตะ ในแบบที่เขาต้องการเพื่อนำมาสร้างทีมในฝัน โดยขณะที่ทางสโมสรก็มั่นใจมาก ว่าเงินจำนวน 25 ล้านปอนด์ จะมากพอ ที่จะทำให้เกิดการตกลงขึ้นมาได้ ทั้งนี้ผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องติดตามกันต่อไป

ทั้งนี้แข้งวัย 21 ปีผู้นี้ สร้างผลงานเรื่อย ๆ จากการลงสนามเป็นตัวจริงถึง 11 เกมให้กับ Newcastle United ก่อนที่จะพบเหตุการณ์อันไม่คาดฝัน เขาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จึงทำให้เขาต้องจำใจปิดฉากฤดูกาลลงเร็วกว่าคนอื่น ๆ แต่เนื่องจากที่เขาเป็นนักเตะที่มีศักยภาพสูงและมีอายุน้อย สามารถพัฒนากลายไปเป็นนักเตะระดับดาวรุ่งของวงการได้ไม่ยาก จึงทำให้เป็นที่ต้องการสูง โดยสาเหตุที่ Man U ต้องออกล่าตัวนักเตะจำนวนมากเช่นนี้ เพราะพวกเขากำลังอยู่ในช่วงสร้างทีมขึ้นมาใหม่ โดยจะเน้นไปที่ผู้เล่นอายุน้อยเพื่อนำมาฟูมฟัก และพยายามเลี่ยงการซื้อนักเตะค่าตัวแพงเหมือนในอดีต ซึ่งจากการเจรจาจะซื้อตัวนักเตะรายนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ก็ต้องคอยดูกันไปก่อน แต่ Manchester United ก็มั่นใจว่าจะต้องได้ตัวนักเตะรายนี้แน่นอน

ถึงไม่น่าเชื่อ แต่มันคือเรื่องจริง ! สถิติชี้แนวรุก Manchester United ห่วยแตกกว่า ‘Bebé’

เล่นเอาแฟนบอลปีศาจแดงต่างตะลึงไปตาม ๆ กัน เมื่อสถิติเผยว่า Bebé นักเล่นผู้ถูกปรามาส มีจำนวนตัวเลขดีกว่าบรรดาแนวรุก Manchester United ในชุดนี้ทุกคน !! ‘Bebé’ อดีตปีกแห่งดินแดนฝอยทอง ที่เหล่าแฟนบอลปีศาจแดงไม่ค่อยปลื้ม และต่างยกให้เป็นหนึ่งใน ‘Dealยอดแย่’ โดยเขาสร้างผลงานในสีชุดของ Man U ดีกว่าผู้เล่นแนวรุกในชุดนี้เสียอีก !

Bebéนักฟุตบอลชาวโปรตุเกส ที่สร้างผลงานได้ดีขึ้น

โดย Manchester United สร้างกระแสฮือฮาจากทุกฝ่าย ด้วยการดึง ‘Bebé’ มาจาก Vitoria Guimaraes ในโปรตุเกสด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ หากแต่กลับสร้างความผิดหวังเพราะโชว์ฟอร์มได้ไม่สมน้ำเงิน เขาจึงถูกปล่อยตัวออกไปอย่างถาวร ไม่มีหวนกลับ ในปี ค.ศ.2014 แต่ถึงกระนั้นก็ตามปีกผู้ทอดทิ้งรายนี้สามารถยิงไปได้ถึง 4 ประตู ! จาก 334 นาทีที่ลงเล่นให้กับปีศาจแดง ซึ่งเมื่อนำมาคิดเป็นจำนวนเฉลี่ยแล้ว ‘Bebé’ จะยิงประตูได้ทุก ๆ 167 นาที ทำให้มีผลงานดีกว่าบรรดาแนวรุกปีศาจแดงในชุดนี้เลยทีเดียว จึงทำให้หลายคนรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก

สถิติของแนวรุกของสมาชิก Manchester United เมื่อเทียบกับ ‘Bebé

  • Bebé – 167 นาที
  • Anthony Martial – 177 นาที
  • Romelu Lukaku – 178 นาที
  • Marcus Rashford – 236 นาที
  • Lexis Sánchez – 542 นาที

เมื่อเจอแบบนี้เข้าไปทำให้บรรดาแนวรุก Manchester United ต้องถึงกับกุมขมับแล้วว่าฟอร์มการเล่นของพวกเขา ดีพอกับปีศาจแดงแล้วหรือยัง เนื่องจากฟอร์มยังสู้แข้งซึ่งถูกตราหน้าและปรามาสจากผู้คนจำนวนมาก ว่าเป็นหนึ่งใน Deal ยอดแย่ไม่ได้เลย

หรือ ‘Bebéอาจโดนปรามาสเกินจริง

จากชายที่ถูกพ่อแม่ทิ้งในตอนเด็ก และได้ย่าเลี้ยงจนเจริญเติบโตขึ้นมา จนมีโอกาสได้เล่นฟุตบอล ให้กับ Estera รับค่าเหนื่อยปีละ 10,000 ปอนด์ สุดท้ายเล่นสร้างผลงานไม่ดีสโมสรเร่ขาย หากแต่ ‘Bebé’ ก็ได้ Victoria Guimares จับมาเซ็นสัญญาร่วมทีม หากแต่ยังไม่ทันได้เล่นเกมอย่างเป็นทางการหากแต่ Man U ได้ติดต่อซื้อตัวมา ด้วยมูลค่า 7.4 ล้าน นอกจากนี้ได้ลงสนามเพียงแค่ 2 นัดใน Premier league แต่ได้ชูถ้วย Premier league พร้อมกับเพื่อน ๆ แล้ว เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเขาได้ไป SL Benfica เล่นในลีกบ้านเกิดได้ลงสำรองเพียงแค่ 25 นาที และแค่ในนัดเดียวเท่านั้น สามารถคว้าแชมป์ลีกโปรตุเกสทันที น่าตื่นตะลึงมาก ! หรือเขาคือชายผู้มากับดวงอันแข็งแกร่ง เพราะบางคนเล่นให้ทีมบ้านเกิด 500 กว่านัดยังไม่เคยจะได้แชมป์ลีกเลย ! แต่ ‘Bebé’ เล่นไป 25 นาทีกลับได้แชมป์ ! ไป นอกจากนี้ยังได้ลงบอลถ้วย รวมทั้งอื่น ๆ อีก 5 นัด แถมได้แชมป์บอลถ้วยโปรตุเกสมาอีก สุดยอดไหมล่ะ

และด้วยการทำสถิติที่คาดไม่ถึงนี่เอง ทำให้ต้องหันมาพิจารณา Bebe กันใหม่อีกครั้ง ซึ่งเขาอาจจะเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองมาเป็นอันดับหนึ่งเลยก็ได้ อย่างไรก็ตามก็คงต้องจับตาดูกันต่อไป

ประจวบ พร้อมเต็มที่พร้อมรับ สิงห์ เชียงราย มาเยือน ในรายการ Thai league 2019

ประจวบ FC พร้อมอ้าแขนรับ สิงห์ เชียงราย มาเยือนในเกม Toyota Thai league 2019 ก่อนที่จะเชิญชวนแฟน ๆ เข้ามาเชียร์ให้เต็มสนาม ‘ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล’ โค้ชผู้ฝึกสอนของ ประจวบ FC ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ‘การเล่นในบ้าน หลังจากที่ทีมได้พักผ่อน 2 สัปดาห์ หลังจากที่แพ้มา 2 เกมติด ทำให้อาจมีนักเตะบาดเจ็บอยู่บ้าง แต่ก็กำลังเร่งปรับทีมให้มีความพร้อมมากขึ้น’ เพื่อเตรียมรับมือในการแข่งขันฟุตบอลครั้งต่อไป

โค้ชเองก็มีความมั่นใจและอยากเชิญมาเชียร์ PT ประจวบ

‘เพราะฉะนั้นผมจึงอยากเชิญชวนแฟนบอล PT ประจวบ ให้เข้ามาเชียร์นักกีฬาและทีมงานให้มากที่สุด ไม่ว่าจะในเกมนี้ หรือเกมต่อ ๆ ไป เพราะที่ผ่านมาทีมของเราก็อัดแน่นไปด้วยแฟนบอลเยอะมาตลอด ทำให้มีความคาดหวังว่าอยากให้บรรยากาศแบบนั้นอยู่ต่อไป’

ส่วนในเรื่องของความคาดหวังในปี 2019 นี้ โค้ชก็ได้กล่าวว่า ‘ในปีที่แล้ว อาจต้องเจอกับปัญหาในการมาเยือนไทยอยู่บ้าง หากแต่ปีนี้ทีมที่จะมาเยือนไทยก็ได้มีการเตรียมความพร้อมกันมากขึ้น สำหรับปีที่แล้วเขาอาจมองว่าเราเป็นทีมน้องใหม่ แต่สำหรับในปีนี้ ทุกทีมที่จะเดินทางมา ต้องมีการเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี’ ทั้งนี้ทางทีมชาติไทยก็เตรียมพร้อมรับมือด้วยเช่นกัน

สำหรับเรื่องของการซื้อขายนักเตะ โค้ชก็ได้บอกว่า ‘ยังคงมีการซื้อขายนักเตะอยู่เช่นเดิม แต่ก็ต้องรอการตัดสินใจจากผู้บริการของทีมอีกที หากแต่ก็คิดว่าคงไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเยอะมากมาย เพราะค่อนข้างลงตัวอยู่แล้ว โดยเราอาจมีการปรับบางตำแหน่งเพื่อนำเข้ามาเติมเต็มจุดที่อ่อนแอในทีม ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น นอกจากนี้เราก็มีการเปลี่ยนแปลงการเล่นในทุก ๆ เกมอยู่แล้ว เพื่อให้เป็นไปตามคู่แข่งที่เจอ หากแต่สำหรับเกมนัดนี้เราก็ยังคงมีผู้เล่นที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งติดโทษแบนอยู่ด้วย เราจึงปรับเปลี่ยนมองรูปเกมในอีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนกับเกมที่ผ่านมา สำหรับเกมกับ Bangkok ที่เราเล่นในบ้าน เราเองก็ยอมรับว่า พยายามเปิดเกมรุกมากเกินไป จนครึ่งหลังเราก็ดันพลาดท่ามาเสียประตูจนได้ ทำให้ในเกมต่อไปต้องเพิ่มความรัดกุมมากขึ้น’

ทางด้าน ‘ชินภัทร ลีเอาะ’ กองหลังของ สิงห์ เชียงราย ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ‘ตอนนี้ก็มีพร้อม 100% ครับ ทางเราก็เพิ่งผ่านเกมมาไม่นาน และทางโค้ชเองก็ไม่ได้มีการเพิ่มเกมรับอะไรมาก เนื่องจากนักแตะต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร สุดท้ายแล้วผมอยากก็ให้แฟน ๆ จากทั้ง 2 ทีม เข้ามาชมกันเยอะ ๆ นะครับ’

ซึ่งก็ต้องรอติดตามกันต่อไปว่าการแข่งขันครั้งนี้ทีมฟุตบอลไทยของเราจะสามารถคว้าชัยชนะไว้ได้หรือไม่ โดยขอให้แฟนบอลทุกคนมาร่วมเชียร์และเป็นกำลังใจในนัดต่อไปในรายการ Toyota Thai league 2019 กันด้วย

เหลือเชื่อ ! ฟุตบอล ‘ทีมชาติไทย’ แพ้แม้ ‘อินเดีย’

เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ที่ประเทศซึ่งตีคริกเก็ตเป็นกีฬาหลักอย่าง ‘อินเดีย’ จะบุกมาจัดการ ‘ทีมชาติไทย’ ได้ถึงบ้านในรายการ King Cup 2019 ยิ่งสะท้อนให้เห็นการเล่นของศึกช้างศึกไทยในยุคนี้ และยิ่งถ้านับรวมความพ่ายแพ้ต่ออินเดีย 4-1 ก่อนหน้านี้ในศึก Asian Cup รวมถึงการแพ้คู่แข่งตลอดกาลอย่างเวียดนาม แบบเละคาบ้านก็ยิ่งกลายมาเป็นเครื่องตอกย้ำความย่ำแย่ของทีมชาติไทย ให้บาดลึกเข้าไปอีก คำถามสำคัญคือ อะไรที่พาทีมไทยมาถึงจุดนี้ได้ ?

รับไม่ได้

ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน ที่ทีมชาติไทย สามารถดำเนินไปได้ดีในยุคของ ‘โค้ช ซิโก้ เกียรติศักดิ์’ ที่เขาสามารถพาทีมผ่านเข้าไปเล่นในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกรอบ 12 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ก็มาพ่ายแพ้ให้กับซาอุดิอาระเบียถึง 3-0 อีกทั้งยังบุกไปแพ้ญี่ปุ่น 4-0 ทำให้ ‘พล.ต.อ.สมยศ’ นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยรับไม่ได้ ทำให้โค้ชซิโก้ประกาศสละตำแหน่ง และจากจุดนี้นี่เองที่ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการหลงทางครั้งใหญ่ของวงการฟุตบอลไทย และเกิดการพ่ายแพ้อย่างที่เห็น

เลือกโค้ชแบบไม่ใส่ใจ

เมื่อตำแหน่งว่าง สมาคมเลือกใช้วิธีเปิดรับสมัครแบบไร้การวางแผน ทำให้กุนซือว่างงานจากทั่วโลก เดินทางมาสมัครกันมาก แต่คนที่ไปโดนใจประธานฝ่าย คือ ‘มิโลวาน ราเยวัช’ กุนซือชาวเซอร์เบียมีดีกรี เพราะเคยพา Ghana เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในการแข่งขันฟุตบอลโลก

‘มิโลวาน ราเยวัช’ ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง

‘มิโลวาน ราเยวัช’ สั่งให้นักเตะทั้งทีมลงไปกองแถวหน้าประตูตัวเอง แต่สุดท้ายก็แพ้แม้ว่าจะเสียประตูไม่ค่อยมากก็ตาม ซึ่งต่อมา ราเยวัช ได้ต่อสัญญาทำให้เขารับเงินก้อนใหญ่ตอนโดนไล่ออก สำหรับสาเหตุของการออกของ ราเยวัช คือ การทำให้ทีมไทยตกรอบตัดเชือกศึก AFF Suzuki Cup 2018 โดน อินเดีย ถล่มอย่างยับเยิน 4-1 ทำให้เขาโดนปลดกลางอากาศในทันที

ยังไม่เห็นความหวังใหม่

การมารับงานอย่างกะทันหันของ ‘โค้ชโต่ย ศิริศักดิ์’ ทำให้ทีมชาติไทยยังดี ๆ ทรุด ๆ ถึงแม้เขาจะสามารถพาทีมเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายใน Asian Cup หากแต่ความพ่ายแพ้อย่างน่าอดสู แก่ทั้ง อินเดีย และ เวียดนาม ก็ทำให้อนาคตของทีมไทยดูมืดมนลงไปกว่าเดิม นอกจากนี้อีกปัจจัยหนึ่ง คือ การพัฒนาตัวเองอย่างเต็มฝีเท้าของ เวียดนาม คู่แข่งเพื่อนบ้านซึ่งสามารถทำผลงานได้ดีในเวทีระดับ ASIA ราวกับดาวที่กำลังจะระเบิดแสง ส่งผลให้แน่นอนว่า หลังจากนี้จะทำให้ ทีมชาติไทยต้องประสบพบเจอกับความกดดันอย่างแน่นอน

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าทีมชาติไทยกำลังเจอกับปัญหาหนัก ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถพลิกเกมกลับขึ้นมาคว้าชัยชนะได้อีกหรือไม่ อย่างไรก็ต้องจับตามองกันต่อไป โดยเชื่อว่าถ้าทุกคนมุ่งมั่นและตั้งใจสู้กับการแข่งขันฟุตบอลจริง ๆ ก็ยังพอมีหวังอย่างแน่นอน

นักแตะตะกร้อทีมชาติไทย ไล่ต้อนคู่แข่งกวาดแชมป์ ‘ตะกร้อ Asian Championships 2019’

กองทัพนักตะกร้อ ทีมชาติไทยทั้งชาย – หญิง เดินหน้าเต็มกำลังกวาดแชมป์ ‘ตะกร้อ Asian Championships 2019’ ณ เมือง Kunming สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนักกีฬาชาย สามารถปราบคู่แข่งตลอดกาลอย่างทัพมาเลเซียไปได้ ทางด้านทีมหญิงแกร่ง ก็โค่นเมียนมาร์ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งก็เป็นการแข่งขันที่ดุเดือดมากทีเดียว

กองทัพตะกร้อไทยเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมคว้าชัยชนะมาฝากประเทศ

การแข่งขันเซปักตะกร้อ ในรายการ ‘Asian Championships 2019’ วันที่ 10-14 มิถุนายน 2019 โดยสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย ส่งนักกีฬาร่วมศึกทั้งชายและหญิง

โดยวันที่ 12 มิถุนายน การแข่งขันในประเภททีมเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ เริ่มจากผลงานของฝ่ายหญิง สำหรับรอบชิงชนะเลิศพวกเธอได้เข้าไปปะทะกับ เมียนมาร์ รูปเกมตะกร้อของสาวไทยเป็นฝ่ายที่สามารถเล่นได้อย่างแพรวพราวกว่า โดยเอาชนะ เมียนมาร์ ไปอย่างขาดลอย ด้วยคะแนน 2-0, จึงสามารถคว้าชัยชนะมาได้อย่างสวยงาม ส่วนทางด้านฝ่ายชาย พวกเขาผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปพบกับ มาเลเซีย คู่ปรับตลอดกาล โดยทีมตะกร้อไทยก็เล่นกันอย่างเต็มที่อย่างเคย โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะไปอย่างสบาย ๆ ด้วยคะแนน 2-0 เซต, โดยคะแนนในแต่ละเซตที่เอาชนะได้คือ 21-10 และ 21-13 ซึ่งคว้าตำแหน่งแชมป์มาครองได้เช่นเดียวกัน ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่านักกีฬาตะกร้อทั้งหญิงและชายต่างก็ทำอย่างเต็มที่มาก

ตะกร้อหญิงทีมชาติไทย หญิงแกร่งแห่งแดนสยาม

ตะกร้อหญิงทีมชาติไทย สร้างความภูมิใจอันเปี่ยมล้นให้แก่แดนสยาม เพราะสามารถสร้างผลงานไปได้ถึง 100% กวาดแชมป์ ศึก ตะกร้อ Asian Championships 2019 ณ เมือง Kunming ทางด้านทีมชายคว้าแชมป์ทีมเดี่ยวไปได้เช่นเดียวกัน ส่วนตะกร้อคู่สุดท้ายอยู่ในอันดับ 5 หลังตกรอบแรก การแข่งขันเซปัก ‘ตะกร้อ Asian Championships 2019’ ‘Chana Open’ ครั้งที่ 2 ในวันศุกร์ ที่ 14 มิถุนายน 2019 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการแข่งขัน สำหรับวันสุดท้าย ของการจับตามองอยู่ที่ตะกร้อคู่หญิง รอบชิงชนะเลิศ โดยรายชื่อของนักตะกร้อหญิงที่รวมพลังกันคว้าแชมป์ทีมเดี่ยวหญิง ได้แก่…

  • สมฤดี ปรือปรัก
  • มัสยา ดวงศรี
  • ศศิวิมล จันทสิทธิ์

โดยผลการแข่งขัน ทีมตะกร้อคู่สาวไทย สามารถไล่ต้อนเอาชนะเมียนมาไปได้อย่างสบาย ๆ 2-0 เซต, โดยมีคะแนนในแต่ละเซตคือ 21-7, 21-8 จึงได้แชมป์ไปครองอีกเช่นเคย ซึ่งก็สรุปได้ว่า ‘Asian Championships 2019’ ทีมตะกร้อสาวไทยสามารถคว้าแชมป์ได้ทั้งหมด

ทางด้านทีมตะกร้อคู่ไทยที่พลิกล็อค พ่ายให้แก่เวียดนาม 1-2 เซต จนทำให้ตกรอบแรกไป และพ่ายให้แก่ฟิลิปปินส์ 0-2 เซต จนกระทั่งทำให้หล่นลงไปเล่นใน Division 2 หากแต่สุดท้ายก็สามารถเอาชนะอินเดียมาได้ รวมทั้งชนะอิหร่านในรอบชิงชนะเลิศ จึงทำให้จบ Tournament นี้ด้วยอันดับที่ 5 หากแต่ในประเภททีมเดี่ยวชายก็ยังคว้าแชมป์ได้ อย่างไรก็ตามการแข่งขันในครั้งนี้ก็สร้างความน่ายินดีให้กับไทยได้เป็นอย่างมากและคาดว่าในการแข่งขันครั้งต่อ ๆ ไป ทีมตะกร้อทั้งชายหญิงของไทยเราก็จะสามารถคว้าชัยชนะมาได้อีกแน่นอน