อากาศหนาวในเมืองไทย ทำให้คนหลั่งไหลไปเที่ยวที่ไหนบ้าง

เมื่อเริ่มเข้าเดือนธันวาคมของทุกปีนั้น จะเป็นช่วงฤดูหนาวที่ผู้คนส่วนมากมองหาที่เที่ยวเพื่อจะไปพักผ่อนในบรรยากาศที่เย็นสบาย และเต็มไปด้วยธรรมชาติรายล้อม และเมื่ออากาศหนาวมาเยือนนั้นสถานที่ยอดฮิตในประเทศไทยก็จะเต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่น จนทำให้อากาศที่หนาวเย็นกลายเป็นตลบอบอวลไปด้วยความอบอุ่นของผู้คน แน่นอนว่าสถานที่ที่หนาวเย็นของประเทศไทยนั้นคงหนีไม่พ้นในเขตทางภาคเหนือของประเทศ ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หลั่งไหลเข้ามาเที่ยวชมธรรมชาติที่งดงาม รวมถึงชมน้ำค้างและไอทะเลหมอกยามเช้าบนดอยต่าง ๆ มากมาย ซึ่งสถานที่เที่ยวในประเทศไทยที่เหมาะจะไปในหน้าหนาวมีดังต่อไปนี้คือ

  1. ยอดดอย ซึ่งบนยอดดอยนี้ถือว่าเป็นสถานที่จุดสูงสุดบนภูเขา ในประเทศไทยมีทั้งทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีภูเขาที่มีลักษณะเป็นดอยยื่นออกมา เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ผู้คนขึ้นไปเพื่อชมอากาศยามเช้าและทะเลหมอก รวมทั้งพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นรุ่งระวีแสงดวงอาทิตย์แรกของยามเช้า ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นที่สวยงามมากเลยทีเดียว
  2. หมู่บ้านชาวเขา ซึ่งหมู่บ้านชาวเขาเป็นหมู่บ้านพื้นบ้านที่มีการแต่งตัวการในแบบชนพื้นเมือง ทำให้ผู้ที่สนใจจะไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างจังหวัดแบบชนบทนั้นได้รับวัฒนธรรม และเรียนรู้ความเป็นพื้นเมืองอย่างถ่องแท้ของชาวดอย ซึ่งตามหมู่บ้านชาวเขาเหล่านี้มักจะมีเสื้อผ้าไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ใส่ถ่ายรูปกันเพื่อเป็นที่ระลึกอีกด้วย
  3. น้ำตก นับว่าเป็นอีกสถานที่เที่ยวหนึ่งที่ผู้คนนิยมไปเล่นน้ำ ถึงแม้จะมีอากาศที่หนาวเย็น แต่ก็มีคนส่วนมากที่นิยมไปเพื่อถ่ายรูปเอาบรรยากาศ เนื่องจากในหน้าหนาวนั้นน้ำตกจะมีน้ำที่ไม่เยอะมาก และหมดปัญหาเรื่องน้ำป่าไหลหลาก จนทำให้ผู้คนนิยมไปเก็บภาพธรรมชาติอันสวยงามของธรรมชาติ และก้อนหินเล็กหินน้อยได้เป็นอย่างดี
  4. ไร่ทางภาคเหนือ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าทางภาคเหนือนั้นเป็นแหล่งของไร่ปลูกพืชพันธุ์นานาชนิดไว้ค่อนข้างมาก เนื่องจากต้นไม้บางชนิดสามารถเติบโตได้ในอากาศที่หนาวเย็น ทำให้ไร่สวนในภาคเหนือนั้นมีอาณาเขตที่กว้างขวางและเหมาะกับการไปเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดที่สบาย ๆ อากาศเย็น ๆ
  5. สวนดอกไม้ทางภาคเหนือ ซึ่งดอกไม้ทางภาคเหนือนั้นจะมีดอกที่บานใหญ่และสวยงาม รวมทั้งมีหลากหลายชนิดที่ทางภาคอื่น ๆ นั้นหาดูยาก เพราะสภาพอากาศทางภาคเหนือเหมาะกับการปลูกดอกไม้ให้ออกดอกบานสะพรั่งสวยงาม ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้าไปเที่ยวชมสวนดอกไม้อย่างคับคั่ง รวมทั้งทางภาคเหนือจะมีการจัดงานกิจกรรมสวนดอกไม้ขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้ผู้คนสนใจไปเที่ยวชมสวนดอกไม้เหล่านี้กันมากขึ้นในแต่ละปี

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว หน้าหนาวปีนี้การไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินตัว และสามารถเลือกไปที่ไหนก็ได้ที่ผู้เที่ยวนั้นชอบและเดินทางสะดวก ซึ่งปัจจุบันนี้มีรถรับส่งประจำทางเกิดขึ้นมากมาย เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวจุดหมายปลายทางได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย

แมงกะพรุน สัตว์มีพิษประจำท้องทะเล รุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

                “ทะเล” สถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ยิ่งหน้าร้อนแล้ว ผู้คนยิ่งแห่ไปเที่ยวทะเลกันเป็นจำนวนมาก ไปเล่นน้ำคลายร้อน ทะเลในหลาย ๆ แห่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว และอีกหลายแห่งก็มีนักท่องเที่ยวบางตา สาเหตุหนึ่งมาจากความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ และปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของทะเลคือ “แมงกะพรุน” ที่มีจำนวนมากขึ้นในท้องทะเล

                แมงกะพรุนเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ตัวนิ่มใส รูปร่างคล้ายร่มหรือกระดิ่งคว่ำ มักมีเข็มพิษไว้ป้องกันตัว พบมากในช่วงหน้าฝน ทั้งในทะเลลึกและตื้น แมงกะพรุนถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ แมงกะพรุนกล่อง และแมงกะพรุนไฟ

แมงกะพรุนกล่อง มีลักษณะคล้ายแก้วคว่ำ มี 2 ชนิด แบบมีหลายหนวด แตกแขนงออกมาจากโคนหนวด เมื่อสัมผัสแล้วจะมีอาการปวดรุนแรง 4 – 12 ชั่วโมง มีรอยไหม้ ผิวหนังตาย และอาจจะหมดสติหรือเสียชีวิตได้ แบบมีหนวดเดี่ยว แตกแขนงออกมาจากโคนหนวด เมื่อสัมผัสแล้วจะมีอาการรุนแรงภายใน 5 – 40 นาที มีอาการปวดหัว ปวดหลัง ปวดท้อง คลื่นไส้ เป็นต้น

แมงกะพรุนไฟ รูปร่างคล้ายร่ม เมื่อสัมผัสจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน แสบคัน มีรอยไหม้ อาจจะมีไข้หรือช็อก จนหมดสติ รวมถึงอาจเสียชีวิตได้

สาเหตุที่แมงกะพรุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

                น้ำเสียและน้ำจากการทำเกษตรที่มีปุยเคมี มีธาตุอาหารสูง เป็นอาหารชั้นดีของแมงกะพรุน ทำให้แมงกะพรุนขยายพันธุ์ไปได้อย่างรวดเร็ว

ภาวะโลกร้อนทำให้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนไปมาก ทำให้กระบวนการในทะเลเปลี่ยนแปลงไป ทำให้พบแมงกะพรุนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

เต่าทะเลมีน้ำจำนวนน้อยลง จากการจับไปทำอาหาร ทำเครื่องประดับ ร่วมถึงการตายจากปัญหาขยะใต้ท้องทะเล ทำให้ท้องทะเลไม่มีผู้พิทักษ์ คอยกำจัดแมลงกะพรุนที่มีพิษมีภัยต่อผู้เล่นน้ำทะเล

วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสัมผัสแมงกะพรุน

ถ้าหากถูกแมงกะพรุนต่อยในบริเวณที่สามารถป้องกันพิษไหลได้ เช่น แขน หรือ ขา ควรหาผ้ามัดเหนือแผลเพื่อป้องกันพิษไหล และควรล้างแผลด้วยน้ำส้มสายชู และหากสังเกตเห็นหนวดของแมงกะพรุนข้างอยู่ให้ราดด้วยน้ำส้มสายชูไปรอบ ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วค่อยดึงหนวดออก ในกรณีที่ไม่มีน้ำส้มสายชูสามารถล้างด้วยน้ำทะเลแทนได้ และวิธีที่สามารถแก้ได้อีกวิธีหนึ่งคือ นำหญ้าทะเลที่สะอาดมาขยี้กับน้ำส้มสายชูและราดบริเวณที่ถูกต่อย แต่หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับหญ้าทะเลสะอาดหรือไม่ และหากอาการไม่ดีขึ้น ควรนำส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลให้คุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญดูแล เนื่องจากพิษของแมงกะพรุนมีความรุนแรงอาจถึงตายได้ หากดูแลไม่ดีหรือดูแลผิดวิธี

สิ่งที่ห้ามทำโดยเด็ดขาดคือ ห้ามใช้น้ำจืดล้างแผลโดยเด็ดขาด ห้ามถูบีบหรือนวดบริเวณที่ถูต่อยหรือบริเวณโดยรอบ ห้ามประคบร้อนและประคบเย็นโดยเด็ดขาด เนื่องจากทั้ง 3 วิธีจะทำให้พิษของแมงกะพรุนกระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ สามารถส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ธรรมชาติเปลี่ยนไปสาเหตุหลักมาคนที่เข้าไปรบกวนระบบธรรมชาติ เช่น เดิมเต่าทะเลผู้พิทักษ์ทะเลให้ปลอดแมงกะพรุน แต่เต่าทะเลถูกทำล้ายด้วยน้ำมือของมนุษย์ที่จับไปทำอาหารหรือเครื่องประดับ ผลกระทบทางตรงที่เกิดกับมนุษย์คือแมงกะพรุนที่มีมากขึ้นทำให้ทะเลที่เคยน่าเล่น น่ามอง มีเสน่ห์น่าหลงใหล บัดนี้ถูกเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัว และไม่ปลอดภัย เราควรหันมาดูแลรักษาธรรมชาติให้มากขึ้น เพื่อความสมบูรณ์ของธรรมชาติจะได้กลับมาอีกครั้ง

 

เครื่องบิน ทางเลือกการโดยสายที่ปลอดภัย สะดวก รวดเร็ว ทันใจ

                การเดินทางโดยเครื่องบินไปยังสถานที่ต่าง ๆ ย่อมสร้างความสะดวกสบาย เพราะเพียงไม่กี่อึดใจ ทำให้เราสามารถข้ามน้ำ ข้ามทวีปไปยังอีกประเทศหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว มีทั้งอาหาร เครื่องดื่ม รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ คอยอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสา รที่กำลังจะเดินทางไปท่องเที่ยว ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ไปทำงาน หรือไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ในต่างแดน หรือในต่างจังหวัด ให้สามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย

การเดินทางโดยเครื่องบินถือเป็นรูปแบบการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดในทุกรูปแบบ หากเปรียบเทียบกับการเดินทางโดยรถยนต์ การเดินทางโดยรถจักรยานยนต์ การเดินทางทางเรือ เพราะการเดินทางด้วยเครื่องบิน เป็นช่องทางที่ผู้ให้บริการจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ไม่ใช่ใครที่สามารถให้บริการได้ และกว่าที่ผู้โดยสารจะร่วมเดินทางได้ จะต้องผ่านมาตรการรักษาความปลอดภัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตรวจสิ่งของสัมภาระ ตรวจของที่พกติดตัวขึ้นเครื่องบิน เพื่อความปลอดภัยที่สูงที่สุดที่สายการบินจะให้บริการแก่ผู้โดยสารทุกคน

และไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถขับเครื่องบินได้ ผู้ที่สามารถขับเครื่องบินได้จะเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้รับการฝึก อบรม เข้าสอบจนได้ใบรับรองมาแล้วเท่านั้น ดังนั้นจุดนี้จึงเป็นเครื่องรับประกันได้ว่า การเดินทางด้วยเครื่องบิน ปลอดภัยกว่าการเดินทางด้วยยานพาหนะอื่น ๆ เป็นที่สุด

Airlineratings.com เว็บไซต์จัดอันดับสายการบินทั่วโลกที่ ได้จัดอันดับสายการบินที่มีความปลอดภัย ประจำปี 2018 ไว้ดังนี้

AirlineRatings.com ที่คอยจัดอันดับการให้บริการของสายการบินต่าง ๆ ด้วยหลักความปลอดภัยในการบิน การรีวิวจากผู้โดยสาร อายุของสายการบิน ความมีประโยชน์ต่อส่วนร่วม การจัดการสิ่งแวดล้อม เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อสารการบินนั้น ๆ

Air New Zealand ของนิวซีแลนด์ที่ได้รับการโหวตให้เป็นอันดับ 1 ของสายการบินที่มีความปลอดภัย และเป็นสายการบินที่มีความปลอดภัยในระดับ 7 ดาว ติดต่อกัน 5 ปีซ้อน อีกทั้งยังมีผลประกอบการทางการเงินที่ยอดเยี่ยม มีนวัตกรรมที่ทันสมัยในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาย และมีความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม

อันดับ 2 – 10 ได้แก่ Qantas Airways สายการบินประเทศออสเตรเลีย, Singapore Airlines สายการบินประเทศสิงคโปร์, Virgin Australia Airlines สายการบินประเทศออสเตรเลีย, Virgin Atlantic Airways สายการบินประเทศออสเตรเลีย, Etihad Airways สายการบินประเทศอาหรับเอมิเรตส์, All Nippon Airways (ANA) สายการบินประเทศญี่ปุ่น, Korean Air สายการบินประเทศเกาหลีใต้, Cathay Pacific สายการบินประเทศฮ่องกง, Japan Airlines สายการบินประเทศญี่ปุ่น

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่มีสายการบินใดที่ติดร่วมอยู่ในอันดับของสายการบินที่ปลอดภัยที่สุดก็ตาม แต่เชื่อมั่นได้อย่างหนึ่งว่า การเดินทางโดยเครื่องบินของไทยเรานั้น ปลอดภัยกว่าการเดินทางด้วยวิธีอื่น ๆ แน่นอน และสายการบินในประเทศไทยทุกสายการบิน ล้วนแล้วแต่มีนักบินมืออาชีพ ที่ได้รับการฝึกอบรม การสอบปฏิบัติมาเป็นอย่างดี ไม่แพ้ชาติใดในโลก

 

สิงคโปร์คว้าตำแหน่งอันดับ 1 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกปี 2018

                ประกาศผลออกมาเรียบร้อยแล้ว สำหรับสนามบินที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งเชื่อว่านักท่องเที่ยวหรือคนที่เดินทางบ่อย ๆ คงจะทายถูกกันบ้าง เพราะสนามบินแห่งนี้เป็นสนามบินที่ครองแชมป์มาเป็นสมัยที่ 6 แล้ว กับสนามบินชางงีของประเทศสิงคโปร์ จากการจัดอันดับของ Skytrax สถาบันวิจัยบริการการบินชั้นนำของประเทศอังกฤษ ได้ใช้เกณฑ์การสำรวจความพึงพอใจของผู้โดยสารที่เดินทาง ตั้งแต่ความพอใจต่อสิ่งอำนวยความสะดวกในสนามบิน บริการเช็คอิน ความปลอดภัย ร้านค้าภายในสนามบิน การรอเปลี่ยนเครื่อง รวมถึงระบบการตรวจคนเข้าเมืองของสนามบินนั้น ๆ ซึ่งสนามบินชางงีของประเทศสิงคโปร์มีคะแนนความพึงพอใจเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยอันดับ 2 คือสนามบินอินชอนของประเทศเกาหลีใต้ อันดับ 3 ท่าอากาศยานฮะเนะดะ เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น อันดับ 4 ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง อันดับ 5 ท่าอากาศยานานาชาติฮาหมัก ประเทศกาตาร์ อันดับ 6 ท่าอากาศยานมิวนิก ประเทศเยอรมนี อันดับ 7 ท่าอากาศยานนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น อันดับ 8 ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ ประเทศอังกฤษ อันดับ 9 ท่าอากาศยานซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และอันดับ 10 ท่าอากาศยานนานาชาติ แฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี

รู้จักกับท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี

                ท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี เป็นสนามบินนานาชาติหลักของประเทศสิงคโปร์ และเป็นสนามบินสำหรับประชาชนทั่วไปแห่งเดียวของประเทศ ถือเป็น Hub ของระบบการขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นสนามบินติดอันดับจำนวนผู้โดยสาร และสินค้าที่ผ่านการขนส่งมากที่สุดในโลก สนามบินแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 8,100 ไร่ ในย่านชางงีด้านตะวันออกสุดของเกาะสิงคโปร์ ห่างจากใจกลางเมืองสิงค์โปร์ 20 กิโลเมตร ซึ่งล่าสุดในปี 2017 ที่ผ่านมา สนามบินแห่งนี้ได้มีการเปิดตัวอาคารใหม่ ชื่อว่า The Jewel เป็นอาคารที่มีความทันสมัยรูปทรงโดนัทสูง 10 ชั้น ภายในประกอบไปด้วยสวนในร่ม ร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำ โรงแรม และน้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลกบนพื้นที่กว่า 13,000 ตารางเมตร

สนามบินสุวรรณภูมคว้าอันดับที่ 36

                สำหรับสนามบินสุวรรณภูมิของประเทศไทยเราในปี 2018 ก็คว้าอันดับที่ 36 ไปครอง มีอันดับขึ้นมาจากอันดับ 38 ในปีที่แล้ว และก็ยังเป็นสนามบินที่ติดอันดับ 1 ใน 40 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งสนามบินสุวรรณภูมิของเราเคยติดอันดับ 10 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก อีกทั้งในปี 2015 สนามบินของไทยสนามบินนี้ยังเคยติดอันดับ 5 ในประเภทของสนามบินที่มีผู้โดยสาร 40-50 ล้านคนต่อปีอีกด้วย

ในปีต่อไปก็คงต้องติดตามกันว่าสนามบินชางงีของสิงคโปร์จะสามารถคว้าแชมป์ได้เป็นปีที่ 7 ติดต่อกันได้หรือไม่ หรือจะถูกสนามบินในอันดับ 2 3 อย่างสนามบินนานาชาติอินชอนของเกาหลีใต้ หรือสนามบินฮะเนะดะ ของญี่ปุ่นแซงขึ้นไปแทน ส่วนสนามบินสุวรรณภูมิของเราจะได้รับการปรับปรุงและพัฒนา จนไต่อันดับขึ้นไปหรือกลับไปติดอันดับ 1 ใน 10 ของสนามบินที่ดีที่สุดในโลกได้หรือไม่ก็ต้องติดตามกันต่อไปเช่นกัน