การกลับมาของ Leeds United ในพรีเมียร์ลีก

ในที่สุดก็ถึงการกลับมาของสโมสร ลีดส์ ยูไนเต็ด (Leeds United) หลังหายไปจากพรีเมียร์ลีกอังกฤษนานถึง 16 ปี ของบาดแผลที่เจ็บปวดจาการที่สโมสรประสบปัญหาทางการเงิน ส่งผลให้ทีมดิ่งลงสู่ระดับที่สามของฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งได้รับการยืนยัน ไปพร้อมกับการแข่งขันสองนัดในฤดูกาล 2019 – 20 ที่เหลืออยู่

หลังจากทีมเวสต์ บอมวิช อัลเบี้ยน (West Bromwich Albion) พ่ายแพ้ให้กับฮัดเดอร์ฟีลด์ ด้วย 2-1 ประตู ทำให้สโมสรลีดส์ ยูไนเต็ดได้รับการรับรองว่าเป็นหนึ่งในสองอันดับแรกของการแข่งขันชิงแชมป์ ที่ได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นไปอยู่ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษโดยอัตโนมัติ

การรอคอย 16 ปี ที่แฟนบอลของทีมยูงทองรอคอย

ฤดูกาลที่แล้วลีดส์ตกลงไปอยู่ที่ดิวิชั่นสาม ก่อนที่จะพ่ายแพ้ในรอบเพลย์ออฟรอบสุดท้ายที่ดาร์บี้ เค้าท์ตี้ ด้านกัปตันของทีมอย่างเลียม คูเปอร์ได้กล่าวว่า “สโมสรของเราแฟน ๆ และผู้เล่นของเราเสียสละมากเราอยู่ในความซบเซามา 16 ปีแล้ว” ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษลีดส์อาจเรียกตัวเองว่าเป็นหนึ่งในสโมสรโรงไฟฟ้าของพรีเมียร์ลีก เคยได้รับรางวัลสุดท้ายในนามลีก ตั้งแต่เมื่อปี 1992 ที่ผ่านมา เพราะก่อนหน้านั้นผู้เล่นจากลีดส์ ยังคงเป็นผู้เล่นหลักตลอดทศวรรษแรกในการแข่งขัน

ในช่วงต้นทศวรรษ 20 สโมสรมีนักเตะชาวออสเตรียคู่ที่มีพรสวรรค์  มีฟอร์มการเล่นที่ดี ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากชาวออสเตรียหลายคน อย่างไรก็ตามหลังจากที่สโมสรกำลังรุ่งโรจน์กับเสียงเชียร์รอบสนามในรอบรองชนะเลิศ แชมเปียนส์ ลีก เมื่อปี 2001 และการแข่งขันพรีเมียร์ ลีกส์ในลำดับสาม เมื่อ 1999-2000 ก่อนเกิดความผิดพลาดอย่างรุนแรงในด้านการบริหารการเงิน ทำให้เกิดการล่มสลายอย่างเจ็บปวดของลีดส์ ต้องจำใจขายผู้เล่นดาวเด่นของทีมเช่น ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, อลัน สมิธ, โจนาธาน วู๊ดเกด, เอียน ฮาร์ท, อารอน เลนน่อน, จิมมี ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์, ลี โบว์เยอร์, มาร์ค วิดูก้า, พอล โรบินสัน เป็นต้น นับได้ว่าเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่งที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษ

เพียงสามปีหลังจากรอบรองชนะเลิศของแชมป์เปี้ยนลีก สโมสรก็ถูกผลักไสหลังจากที่ถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยเงินมากกว่า 180 ล้านดอลลาร์ ในการไขว่คว้าแชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้สโมสรต้องขายที่ทำการสโมสร Elland Road อันเป็นที่รักของพวกเขา เมื่อฝันร้ายและการรอคอยที่ยาวนานผ่านพ้นไปถึง 16 ปี ทีมที่หลงเหลืออยู่ก็ได้รับการคุมของอดีตกุนซือทีมชาติอาร์เจนติน่า อย่างมาเซโล่ บิเอลซ่า ก็กลับเข้ามาอยู่ในพรีเมียร์ลีกอีกครั้งหลังคว้าแชมป์อีเอฟแอล แชมเปี้ยนส์ชิป ท่ามกลางอาการยินดีของบรรดาแฟนบอลของทีมยูงทอง กลายเป็นความสำเร็จที่หอมหวานสำหรับสโมสรลีดส์เป็นอย่างมาก ที่เคยพลาดการเลื่อนชั้นเมื่อฤดูกาลที่แล้วในรอบตัดเชือก นับได้ว่าเป็นการกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีสมการรอคอยของแฟนบอลอย่างแท้จริง

วงการฟุตบอลสะเทือน เมื่ออันเดร เชือร์เลอ ประกาศแขวนสตั๊ดในวัยเพียง 29 ปี

วงการฟุตบอลต้องมีอันสูญเสียนักเตะฝีเท้าดีไปหนึ่งคน หลังจากอันเดร ฮอสท์ เชือร์เลอ นักเตะชาวเยอรมันที่ปัจจุบันเล่นให้กับทีมสปาร์ตัคมอสโก (ต้นสังกัดคือสโมสรโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์) และทีมชาติเยอรมัน ได้ประกาศอำลารองเท้าสตั๊ดผ่านอินสตราแกรมส่วนตัวหลังขอเจรจายกเลิกสัญญากับโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์

อันเดร เชือร์เลอ ประกาศผ่านอินสตราแกรมด้วยตัวเอง

อดีตนักเตะคนสำคัญที่มีความเป็นมืออาชีพที่ปรากฏตัวในศึกบุนเดสลีกา 207 นัดและ 68 นัดในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ รวมทั้งร่วมเป็นนักเตะในทีมเชลซีและฟูแล่ม ด้วยการคว้าชัยชนะ ฟีฟ่า เวิร์ล คัพ 2014 ซึ่งเชือร์คือผู้ที่ส่งบอลให้มารีโอ เกิทเซอ ยิงเข้าประตูได้อย่างประทับใจคนดูเป็นที่สุด

ซึ่งในเดือนกรกฎาคม 2020 อันเดร เชือร์เลอ ได้โพสข้อความในอินสตราแกรมส่วนตัวเพื่อสื่อสารกับแฟนฟุตบอลของเขาว่า

“ผมต้องการให้พวกคุณรู้ว่า ผมกำลังก้าวออกจากการเล่นฟุตบอลอาชีพ !! ในนามของตัวผมเองและครอบครัวของผม ผมอยากจะขอบคุณทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของปรากฎการณ์ในเหล่านี้! การสนับสนุนและความรักที่คุณมีรวมกับผมนั้น แทบจะไม่น่าเชื่อ และมีอีกหลายอย่างมันมากเกินกว่าที่ผมเคยขอไว้!”

“ในตอนนี้ผมพร้อมและเปิดกว้างสำหรับทุกอย่างที่เป็นไปได้สวยงามที่กำลังจะมาถึงตัวผมเอง”

เชือร์เลอ นักเตะในวัย 29 ปี ใช้เวลาในฤดูกาลที่ผ่านมาไปกับสโมสรสปาร์ตัคมอสโก ที่ยืมตัวเขามาจาก โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ซึ่งเขาได้ปรากฏตัว 13 ครั้ง แต่ทำสกอร์ได้เพียง 1 ประตู สำหรับเกมส์นัดสุดท้ายที่เขาได้ลงสนามก็คือเกมส์ที่พ่ายแพ้ให้กับทีมรอสตอฟถึง 4-1 ในวันที่ 8 ธันวาคม 2019

เลือกแขวนสตั๊ดเพราะความสุขในชีวิต

การใช้ชีวิตกับฟุตบอลอาชีพตลอด 11 ปี ที่ผ่านมาของเชือร์เลอ เขาได้เปิดตัวในศึกบุนเดสลีก้าตั้งแต่ตอนอายุ 18 ปี และประสบความสำเร็จอย่างมากในฟุตบอลอาชีพตลอดมา ในนัดที่แสนประทับใจแฟนบอลขณะที่เชือร์เลอทำหน้าที่นักเตะให้ทีมชาติเยอรมัน ในช่วงการยิงจุดโทษเชือร์เลอได้ส่งบอลจากปีกซ้าย ข้ามจุดไปบนหน้าอกของเกิทเซอ ก่อนยิงเข้าประตูคู่ต่อสู้ สร้างประวัติศาสตร์ให้กับทีมชาติเยอรมันได้อย่างสวยงาม

จนปี 2019 เชือร์เลอได้มาเป็นนักเตะให้กับสปาร์ตัคมอสโก ในรัสเซีย ซึ่งระยะเวลาเพียงหนึ่งปี เชือร์เลอได้ตัดสินใจลาจากฟุตบอลอาชีพด้วยตัวเอง เขากล่าวว่า “การตัดสินใจในครั้งนี้ คือสิ่งที่คิดอยู่มาระยะหนึ่งแล้ว” และ “เสียงในด้านอยู่เริ่มลดลงและเสียงความคิดให้ออกมาก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ”

จะเห็นได้ว่าภาพสะท้อนในอาชีพนักเตะของเขาจะบอกเล่าเรื่องราวที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาให้ความสนใจ การประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลกกลายเป็นตำนานอันรุ่งโรงน์ รวมถึงการมีโอกาสเข้ารอบสุดท้ายของแชมเปียส์ลีกกับเชลซี นับได้ว่าประสบการณ์ด้านฟุตบอลอาชีพ อันเดร เชือร์เลอเหมาะสมกับความว่านักเตะผู้ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จมากที่สุดของเยอรมนี

นิติพงษ์ เสลานนท์ หนุ่มนักเตะที่หลาย ๆ คนจับตามอง

ต้องบอกกันก่อนเลยว่า ทีมชาติไทยภายใต้การนำของโค้ชนิชิโนะ อากิระ เป็นทีมชาติไทยที่แฟนบอลภาคภูมิใจอย่างมาก นอกจากความเก่งกาจจนหลาย ๆ คนยกนิ้วให้แล้ว นักบอลทุกคนเองยังมีทั้งทักษะทางการเล่นบอลที่ไม่ว่าใครได้ชมต่างก็รู้สึกชื่นชอบนั่นเอง และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หนึ่งในนักเตะที่มีบทบาทในการทำประตูของเกมทีมชาติไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตต์ก็คือหนุ่มนักเตะแข้งทอง นิติพงษ์ เสลานนท์

หนุ่มนักเตะที่ยึดตำแหน่งแบ็คขวาอย่างคงเส้นคงวา

หากใครที่ติดตามวงการฟุตบอลไทย คงจะรู้จักกับนิติพงษ์ เสลานนท์ ในฐานะของแบ็คขวาของทีมสระบุรี เอฟซี บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และการท่าเรือ ซึ่งจากผลงานที่ผ่านมาของเขา ทำให้แฟนบอลรู้จักกับเขาเป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลาย ๆ คนต่างรู้คือนิติพงษ์มักถูกมองข้ามให้ลงทีมชาติไทย ซึ่งที่เขาถูกมองข้ามนั้นเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมา ชั่วโมงบินของเขายังน้อยอยู่บวกกับนักเตะตำแหน่งแบ็คขวานั้นมีหลายตัวเลือก หรือหากจะพูดอีกทีอาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาของนิติพงษ์ก็ได้ แต่ถึงแม้จะยังไม่ใช่วันของเขา แต่นิติพงษ์เองก็ยังตั้งอกตั้งใจเดินทางในเส้นทางสายฟุตบอล ด้วยความรักในอาชีพของตนเอง และรอว่าสักวันหนึ่ง จะมีคนที่ไม่มองข้ามความเก่งของเขาไป

การมาถึงของนิชิโนะ อากิระ

ด้วยผลงานของเขาที่โดดเด่นกับการเล่นให้กับสโมสรการท่าเรือ ทำให้แฟนบอลเริ่มจับตามอง และมีกระแสเรียกร้อง ต้องการให้นิติพงษ์ ติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ วันเวลาที่เขารอคอยมาถึงในที่สุด เพราะการมาถึงของนิชิโนะ อากิระ นั่นเอง นิติพงษ์ ถูกคัดชื่อเข้ามาติดทีมชาติไทยชุดคัดเลือกฟุตบอลโลก ในโซนเอเชีย ซึ่งสองเกมแรก นิติพงษ์ยังไม่ได้ลงสนาม แต่ในเกมที่ไทยเล่นกับคองโก นิติพงษ์ก็ได้เล่นจนจบเกมเลยทีเดียว แม้ว่าเกมที่เขาได้ลงเล่นจะเป็นแค่เพียงเกมอุ่นเครื่อง แต่เขาก็พยายามทำอย่างเต็มที่ โดยเขาสามารถเปิดบอลได้หลายครั้ง และในที่สุดเขาก็ได้รับโอกาสในเกมที่ไทยเจอกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตต์ ที่นิชิโนะ อากิระตัดสินใจเลือกนิติพงษ์เป็นแบ็คขวา ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง โดยในนาทีที่ 51 เขาเองได้เปิดบอลจากฝั่งขวา ให้เอกนิษฐ์ ปัญญา ยิงเข้าประตู ทำให้ไทยเป็นฝ่ายชนะ

จะเห็นได้ว่าโอกาส ไม่ได้มาถึงง่าย ๆ สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือการอดทนรอคอยจนกว่าจะถึงวันที่ใฝ่ฝัน ในวัย 26 ปีของนิติพงษ์ หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าเขาหมดโอกาสที่จะโด่งดังในทีมชาติไทยชุดใหญ่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้เอาคำสบประมาทมาเป็นอุปสรรคให้ฟอร์มการเล่นตกลงไป ตรงกันข้าม เขายังทุ่มเททำสิ่งที่เขารัก จนวันนี้เขามาถึงจุดที่ตัวเองใฝ่ฝัน

ถึงไม่น่าเชื่อ แต่มันคือเรื่องจริง ! สถิติชี้แนวรุก Manchester United ห่วยแตกกว่า ‘Bebé’

เล่นเอาแฟนบอลปีศาจแดงต่างตะลึงไปตาม ๆ กัน เมื่อสถิติเผยว่า Bebé นักเล่นผู้ถูกปรามาส มีจำนวนตัวเลขดีกว่าบรรดาแนวรุก Manchester United ในชุดนี้ทุกคน !! ‘Bebé’ อดีตปีกแห่งดินแดนฝอยทอง ที่เหล่าแฟนบอลปีศาจแดงไม่ค่อยปลื้ม และต่างยกให้เป็นหนึ่งใน ‘Dealยอดแย่’ โดยเขาสร้างผลงานในสีชุดของ Man U ดีกว่าผู้เล่นแนวรุกในชุดนี้เสียอีก !

Bebéนักฟุตบอลชาวโปรตุเกส ที่สร้างผลงานได้ดีขึ้น

โดย Manchester United สร้างกระแสฮือฮาจากทุกฝ่าย ด้วยการดึง ‘Bebé’ มาจาก Vitoria Guimaraes ในโปรตุเกสด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ หากแต่กลับสร้างความผิดหวังเพราะโชว์ฟอร์มได้ไม่สมน้ำเงิน เขาจึงถูกปล่อยตัวออกไปอย่างถาวร ไม่มีหวนกลับ ในปี ค.ศ.2014 แต่ถึงกระนั้นก็ตามปีกผู้ทอดทิ้งรายนี้สามารถยิงไปได้ถึง 4 ประตู ! จาก 334 นาทีที่ลงเล่นให้กับปีศาจแดง ซึ่งเมื่อนำมาคิดเป็นจำนวนเฉลี่ยแล้ว ‘Bebé’ จะยิงประตูได้ทุก ๆ 167 นาที ทำให้มีผลงานดีกว่าบรรดาแนวรุกปีศาจแดงในชุดนี้เลยทีเดียว จึงทำให้หลายคนรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก

สถิติของแนวรุกของสมาชิก Manchester United เมื่อเทียบกับ ‘Bebé

  • Bebé – 167 นาที
  • Anthony Martial – 177 นาที
  • Romelu Lukaku – 178 นาที
  • Marcus Rashford – 236 นาที
  • Lexis Sánchez – 542 นาที

เมื่อเจอแบบนี้เข้าไปทำให้บรรดาแนวรุก Manchester United ต้องถึงกับกุมขมับแล้วว่าฟอร์มการเล่นของพวกเขา ดีพอกับปีศาจแดงแล้วหรือยัง เนื่องจากฟอร์มยังสู้แข้งซึ่งถูกตราหน้าและปรามาสจากผู้คนจำนวนมาก ว่าเป็นหนึ่งใน Deal ยอดแย่ไม่ได้เลย

หรือ ‘Bebéอาจโดนปรามาสเกินจริง

จากชายที่ถูกพ่อแม่ทิ้งในตอนเด็ก และได้ย่าเลี้ยงจนเจริญเติบโตขึ้นมา จนมีโอกาสได้เล่นฟุตบอล ให้กับ Estera รับค่าเหนื่อยปีละ 10,000 ปอนด์ สุดท้ายเล่นสร้างผลงานไม่ดีสโมสรเร่ขาย หากแต่ ‘Bebé’ ก็ได้ Victoria Guimares จับมาเซ็นสัญญาร่วมทีม หากแต่ยังไม่ทันได้เล่นเกมอย่างเป็นทางการหากแต่ Man U ได้ติดต่อซื้อตัวมา ด้วยมูลค่า 7.4 ล้าน นอกจากนี้ได้ลงสนามเพียงแค่ 2 นัดใน Premier league แต่ได้ชูถ้วย Premier league พร้อมกับเพื่อน ๆ แล้ว เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเขาได้ไป SL Benfica เล่นในลีกบ้านเกิดได้ลงสำรองเพียงแค่ 25 นาที และแค่ในนัดเดียวเท่านั้น สามารถคว้าแชมป์ลีกโปรตุเกสทันที น่าตื่นตะลึงมาก ! หรือเขาคือชายผู้มากับดวงอันแข็งแกร่ง เพราะบางคนเล่นให้ทีมบ้านเกิด 500 กว่านัดยังไม่เคยจะได้แชมป์ลีกเลย ! แต่ ‘Bebé’ เล่นไป 25 นาทีกลับได้แชมป์ ! ไป นอกจากนี้ยังได้ลงบอลถ้วย รวมทั้งอื่น ๆ อีก 5 นัด แถมได้แชมป์บอลถ้วยโปรตุเกสมาอีก สุดยอดไหมล่ะ

และด้วยการทำสถิติที่คาดไม่ถึงนี่เอง ทำให้ต้องหันมาพิจารณา Bebe กันใหม่อีกครั้ง ซึ่งเขาอาจจะเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองมาเป็นอันดับหนึ่งเลยก็ได้ อย่างไรก็ตามก็คงต้องจับตาดูกันต่อไป

เหลือเชื่อ ! ฟุตบอล ‘ทีมชาติไทย’ แพ้แม้ ‘อินเดีย’

เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ที่ประเทศซึ่งตีคริกเก็ตเป็นกีฬาหลักอย่าง ‘อินเดีย’ จะบุกมาจัดการ ‘ทีมชาติไทย’ ได้ถึงบ้านในรายการ King Cup 2019 ยิ่งสะท้อนให้เห็นการเล่นของศึกช้างศึกไทยในยุคนี้ และยิ่งถ้านับรวมความพ่ายแพ้ต่ออินเดีย 4-1 ก่อนหน้านี้ในศึก Asian Cup รวมถึงการแพ้คู่แข่งตลอดกาลอย่างเวียดนาม แบบเละคาบ้านก็ยิ่งกลายมาเป็นเครื่องตอกย้ำความย่ำแย่ของทีมชาติไทย ให้บาดลึกเข้าไปอีก คำถามสำคัญคือ อะไรที่พาทีมไทยมาถึงจุดนี้ได้ ?

รับไม่ได้

ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน ที่ทีมชาติไทย สามารถดำเนินไปได้ดีในยุคของ ‘โค้ช ซิโก้ เกียรติศักดิ์’ ที่เขาสามารถพาทีมผ่านเข้าไปเล่นในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกรอบ 12 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ก็มาพ่ายแพ้ให้กับซาอุดิอาระเบียถึง 3-0 อีกทั้งยังบุกไปแพ้ญี่ปุ่น 4-0 ทำให้ ‘พล.ต.อ.สมยศ’ นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยรับไม่ได้ ทำให้โค้ชซิโก้ประกาศสละตำแหน่ง และจากจุดนี้นี่เองที่ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการหลงทางครั้งใหญ่ของวงการฟุตบอลไทย และเกิดการพ่ายแพ้อย่างที่เห็น

เลือกโค้ชแบบไม่ใส่ใจ

เมื่อตำแหน่งว่าง สมาคมเลือกใช้วิธีเปิดรับสมัครแบบไร้การวางแผน ทำให้กุนซือว่างงานจากทั่วโลก เดินทางมาสมัครกันมาก แต่คนที่ไปโดนใจประธานฝ่าย คือ ‘มิโลวาน ราเยวัช’ กุนซือชาวเซอร์เบียมีดีกรี เพราะเคยพา Ghana เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในการแข่งขันฟุตบอลโลก

‘มิโลวาน ราเยวัช’ ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง

‘มิโลวาน ราเยวัช’ สั่งให้นักเตะทั้งทีมลงไปกองแถวหน้าประตูตัวเอง แต่สุดท้ายก็แพ้แม้ว่าจะเสียประตูไม่ค่อยมากก็ตาม ซึ่งต่อมา ราเยวัช ได้ต่อสัญญาทำให้เขารับเงินก้อนใหญ่ตอนโดนไล่ออก สำหรับสาเหตุของการออกของ ราเยวัช คือ การทำให้ทีมไทยตกรอบตัดเชือกศึก AFF Suzuki Cup 2018 โดน อินเดีย ถล่มอย่างยับเยิน 4-1 ทำให้เขาโดนปลดกลางอากาศในทันที

ยังไม่เห็นความหวังใหม่

การมารับงานอย่างกะทันหันของ ‘โค้ชโต่ย ศิริศักดิ์’ ทำให้ทีมชาติไทยยังดี ๆ ทรุด ๆ ถึงแม้เขาจะสามารถพาทีมเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายใน Asian Cup หากแต่ความพ่ายแพ้อย่างน่าอดสู แก่ทั้ง อินเดีย และ เวียดนาม ก็ทำให้อนาคตของทีมไทยดูมืดมนลงไปกว่าเดิม นอกจากนี้อีกปัจจัยหนึ่ง คือ การพัฒนาตัวเองอย่างเต็มฝีเท้าของ เวียดนาม คู่แข่งเพื่อนบ้านซึ่งสามารถทำผลงานได้ดีในเวทีระดับ ASIA ราวกับดาวที่กำลังจะระเบิดแสง ส่งผลให้แน่นอนว่า หลังจากนี้จะทำให้ ทีมชาติไทยต้องประสบพบเจอกับความกดดันอย่างแน่นอน

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าทีมชาติไทยกำลังเจอกับปัญหาหนัก ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถพลิกเกมกลับขึ้นมาคว้าชัยชนะได้อีกหรือไม่ อย่างไรก็ต้องจับตามองกันต่อไป โดยเชื่อว่าถ้าทุกคนมุ่งมั่นและตั้งใจสู้กับการแข่งขันฟุตบอลจริง ๆ ก็ยังพอมีหวังอย่างแน่นอน

คริสเตียโน โรนัลโด นักเตะแข้งทอง จอมทำลายสถิติ

เมื่อพูดถึงข่าวคราวในวงการฟุตบอลต่างประเทศ นักเตะที่ฮ็อตที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากนักเตะแข้งทองที่ได้ชื่อว่าเป็นนักกีฬาที่ทำรายได้ได้มากที่สุดในขณะนี้ นั่นคือนักเตะหนุ่มสุดหล่อ ร่างกายกำยำ “คริสเตียโน โรนัลโด” กองหน้าแข้งทองจากทีมเรอัล มาดริด ที่นับวันก็ยิ่งจะโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ทำลายสถิติต่าง ๆ ในวงการฟุตบอลที่นักฟุตบอลรุ่นพี่ทำเอาไว้อย่างต่อเนื่อง

เส้นทางการเป็นนักฟุตบอลของคริสเตียโน โรนัลโด

                มาทราบประวัติความเป็นมาของนักเตะฝีเท้าดีผู้นี้กันอีกสักครั้ง คริสเตียโน โรนัลโด เป็นนักเตะชาวโปรตุเกส ปัจจุบันอายุ 33 ปี สูง 185 เซนติเมตร ซึ่งผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าผู้นี้ ได้เข้าสู่วงการนักเตะและประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว เริ่มต้นจากการเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของทีมอังดูริญญา นาซีอลูนัล จนได้เริ่มเข้าไปเล่นในลีกภายใต้สังกัดของสโมสรสปอร์ติงลิสบอน จนไปเข้าตาเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน และได้เซ็นต์สัญญาเข้าเป็นผู้เล่นของทีมแมสเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก่อนจะถูกซื้อตัวมาอยู่ทีมเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ทำสถิติเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดที่ถูกซื้อตัวจากทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

สถิติที่ถูกคริสเตียโน โรนัลโดทำลาย

                ล่าสุดต้นปี 2018 นี้ คริสเตียโน โรนัลโดก็ได้ทำลายสถิติและสร้างสถิติใหม่ ทำสถิติเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก ที่สามารถยิงได้ 10 นัดติดต่อกัน ไม่เพียงเท่านั้นเขายังสร้างสถิติยิงยูเวนตุสได้ถึง 9 ประตู ซึ่งถือเป็นนักเตะที่สามารถทำประตูได้มากที่สุดในการยิงคู่แข่งทีมเดียว อีกทั้งเขายังทำสถิติเป็นนักเตะที่ยิงรวมได้มากที่สุดเป็นจำนวน 39 ประตูในฤดูกาลนี้ ซึ่งถือเป็นการทำประตูได้มากที่สุดในลีกชั้นนำของยุโรป นอกจากนี้ในปี 2017 ที่ผ่านมาเขาก็ได้ทำลายสถิติเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทั้ง 5 ลีกใหญ่ในทวีปยุโรปไปได้อย่างที่เรียกว่าสถิตินี้เป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่จะมีนักเตะทำได้ และแล้วโรนัลโดก็ทำไปได้จริง ๆ ด้วยสถิติการทำประตูไปถึง 367 ประตู แซงจิมมี กรีฟส์ กองหน้าในตำนานจากทีมสเปอร์สที่เคยทำสถิติสูงสุดเอาไว้ 366 ประตูในอดีต

ดูเหมือนว่าคริสเตียโน โรนัลโดจะโชว์ฟอร์มได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็คงจะต้องคอยติดตามกันต่อไปว่าในปี 2018 นี้เขาจะสามารถสร้างสถิติใหม่ได้ในลีกใดอีกบ้าง รวมถึงสำหรับศึกฟุตบอลโลกที่ประเทศรัสเซียในปีนี้ เขาจะสามารถนำทีมโปรตุเกสโชวฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม และคว้าตำแหน่งหรือคว้าแชมป์ใดไปได้บ้าง ก็เป็นเรื่องที่คอบอลต้องคอยติดตามดูกันต่อไป