การแต่งกายของผู้หญิงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดคดีข่มขืนจริงหรือ?

                ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคนที่ติดตามข่าวสารในวงการบันเทิงหรือหน้าสังคม คงจะได้เห็นดาราสาวหลาย ๆ คนออกมาพูด โพสต์ภาพ และร่วมรณรงค์ถึงประเด็นเรื่องการแต่งกายของผู้หญิง สืบเนื่องมาจากข่าวคราวการรณรงค์ให้ผู้หญิงแต่งตัวมิดชิดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อลดการก่อเหตุลวนลามและข่มขืน ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดกระแสและการเชิญชวนให้มาเรียกร้องถึงสิทธิสตรีว่าจริง ๆ แล้วการแต่งกายเป็นสิทธิส่วนบุคคลของผู้หญิงทุก ๆ คน และผู้หญิงควรจะได้รับเกียรติจากผู้ชายมากขึ้น รวมถึงผู้ชายไม่มีสิทธิที่จะมาแตะต้องหรือสัมผัสตัวของผู้หญิงได้ตามใจตัวเอง

ซินดี้ สิรินยา นำทัพเหล่าดาราเรียกร้องสิทธิของผู้หญิง

หนึ่งในดาราที่แสดงความคิดเห็น และเป็นต้นเสียงของการรณรงค์ครั้งนี้ก็คือ “ซินดี้ สิรินยา” จนทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย จนเธอต้องออกมาชี้แจงและทำความเข้าใจกับสังคมว่า “ถามว่าการแต่งตัวโป๊เพิ่มความเสี่ยงไหม? ก็มีส่วนค่ะ อันนี้ไม่ได้ปฏิเสธ ผู้หญิงควรระวังตัวเองในระดับหนึ่ง ผู้หญิงควรรู้จักแต่งตัวตามกาลเทศะและถูกที่ถูกเวลา วันนี้ไม่ได้มาเชิญชวนให้ผู้หญิงแต่งตัวโป๊ แต่งตัวเย้ายวนแต่อย่างใด ใครจะแต่งแบบไหนมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ที่ออกมาพูดเพราะรู้สึกว่า ส่วนใหญ่แล้ว เวลาจะแก้ปัญหานี้ จะแก้ที่ฝ่ายผู้หญิงมากกว่าฝ่ายผู้ชาย และไม่มีการนำเสนอวิธีอื่น ๆ ที่ช่วยลดปัญหานี้เลย”

ประเด็นสิทธิสตรีที่นานาชาติต้องให้ความสำคัญ

                ความจริงแล้วประเด็นนี้ไม่ได้เป็นประเด็นที่เพิ่งได้มีการนำมากล่าวถึงในเร็ว ๆ นี้ แต่ประเด็นการแต่งกายของผู้หญิงกับคดีอาชญากรรมการข่มขืนเป็นเรื่องที่เคยถูกหยิบยกและนำมาเป็นตัวอย่างหรือกรณีศึกษากันมาแล้ว ทั้งการถกเถียงกันในเรื่องของมายาคติของการแต่งตัวโป๊ที่หมายถึงสัญลักษณ์ที่นำไปสู่อาชญากรรมในคดีข่มขืน ซึ่งในทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เรียกสิ่งนี้ว่าเป็นมายาคติที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่อย่างใด ถึงแม้ผู้หญิงจะแต่งกายอย่างใด ผู้ชายก็ไม่มีสิทธิที่จะมาข่มขืน และประเด็นนี้ไม่ได้เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นในเกือบทุกประเทศทั่วโลก ตราบใดที่ยังมีคนที่คิดจะละเมิดสิทธิของผู้อื่น ซึ่งความจริงแล้วปัญหาควรถูกแก้จากต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ ซึ่งประเด็นของการแต่งกายนี้เคยได้ถูกหยิบยกมานำเสนอในนิทรรศการของมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้นำชุดและเครื่องแต่งกายของผู้หญิงที่ถูกข่มขืนมา ซึ่งชุดเหล่านั้นเป็นเพียงเสื้อผ้าธรรมดาที่ไม่ใช่เครื่องแต่งกายที่โป๊ หรือวาบหวิวแต่อย่างใด

ส่วนความคิดเห็นในเรื่องนี้ของหลาย ๆ ฝ่ายก็แน่นอนว่าย่อมมีความแตกต่างกันไป ซึ่งจริงอยู่ว่าการแต่งกายเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและกาลเทศะ รวมถึงโอกาสนั้น ๆ ด้วย               

สวมรอยบัตรประชาชน ภัยใกล้ตัวที่ควรระวัง

                ในช่วงที่ผ่านมาหลายคนคงจะได้ติดตามข่าวคราวของการนำบัตรประชาชนไปลักลอบเปิดบัญชีธนาคารกันมาบ้างแล้ว ที่ถึงแม้ว่าคดีนี้จะยังไม่ถึงที่สุด และยังไม่แน่ว่าข้อเท็จจริงของเหตุการณ์นี้เป็นเช่นไร แต่จากคดีนี้ทำให้หลายคนเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญกับเอกสารส่วนตัวอย่างบัตรประชาชนที่สามารถนำไปทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้มากมายรวมถึงการเปิดบัญชีธนาคาร ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งความเสียหายมากมายในอนาคต รวมถึงยังนำไปสู่การหลอกลวงผู้เสียหายอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย

กรณีศึกษา

                ในคดีที่เกิดขึ้นนี้ เป็นกรณีที่มีการนำบัตรประชาชนของผู้เสียหายไปเปิดบัญชีธนาคาร แล้วหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชี ซึ่งเมื่อมีการสืบสวนลึกลงไป พบว่ามีการว่าจ้างวานให้สวมรวมนำเอาบัตรประชาชนของผู้เสียหายไปเปิดบัญชีถึง 5 บัญชี โดยมีการจ่ายค่าจ้างวานบัญชีละ 2,000 บาท ซึ่งผู้ว่าจ้างเป็นชาวไนจีเรีย ที่เชื่อมโยงไปถึงขบวนการโรแมนซ์สแกม ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้เหยื่อหลงเชื่อและแล้วหลอกให้มีการโอนเงินเข้าบัญชีในที่สุด

สมาคมธนาคารเตือน ปัญหาการลอบนำบัตรประชาชนมาเปิดบัญชีธนาคาร

ด้วยข่าวคราวและกรณีดังกล่าว ทำให้สมาคมธนาคารต้องออกมาชี้แจงถึงกระบวนการในการเปิดบัญชีของธนาคาร รวมถึงการป้องกันของประชาชนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น ด้วยระเบียบการยืนยันตัวตนในการเปิดบัญชีเงินฝาก รวมถึงทุกสาขาของธนาคารได้มีป้ายเตือน เรื่องการรับเปิดบัญชีแทนซึ่งถือเป็นความผิดทางกฎหมาย ทั้งนี้ในการเปิดบัญชีเงินฝากทุกครั้ง ธนาคารต้องมีการจัดให้ลูกค้าแสดงตนด้วยบัตรประชาชน รวมถึงต้องมีการตรวจสอบตัวตนของลูกค้ากับบัตรประชาชนที่นำมาเปิดบัญชีว่าเป็นบุคคลเดียวกัน เมื่อมีการตรวจสอบถูกต้องแล้ว จึงจะมีการเปิดบัญชีให้กับลูกค้าได้ รวมถึงตัวประชาชนหรือลูกค้าเองต้องมีความระมัดระวัง รอบคอบในการเก็บรักษาบัตรประชาชน ไม่ควรมอบหมายให้ผู้อื่นไปทำธุรกรรมแทน รวมถึงการให้สำเนาบัตรประชาชนผู้อื่นเพื่อไปทำธุรกรรม ควรขีดคร่อมและเขียนวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน และในกรณีที่บัตรประชาชนหาย ต้องมีการไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานเพื่อเป็นการป้องกันตัวและเพื่อไม่ให้เป็นช่องโหว่ของมิจฉาชีพ

นอกจากกรณีบัตรประชาชนหายแล้วมีการนำเอาไปสวมรอยเปิดบัญชีเพื่อหลอกลวงให้เหยื่อโอนเงินแล้ว ยังมีอีกหลายกรณีที่มีการหลอกลวงขอเลขบัตรประชาชน เพื่อนำไปสวมรอยใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ดังที่บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ออกหนังสือมาเตือนลูกค้าถึงแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่มีการโทรเข้าไปยังลูกค้า แล้วอ้างขอเลขบัตรประชาชน ซึ่งทางบริษัทไม่มีนโยบายการขอบัตรประชาชนใด ๆ จากลูกค้าทั้งสิ้น

 

เหตุกราดยิงในสหรัฐอเมริกา ความรุนแรงที่มีทีท่าว่าจะเพิ่มมากขึ้น

                ความรุนแรงของเหตุการณ์กราดยิงในสหรัฐอเมริกา ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ประชาชนจะออกมารณรงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของกฎหมายอาวุธปืน แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้แต่อย่างใด เพราะความรุนแรงจากการใช้อาวุธปืนในสหรัฐอเมริกา เริ่มมีมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 80 และทวีความรุนแรง จนมีการกราดยิงเกิดขึ้นถี่มากขึ้นในทศวรรษ 90 ถึงแม้จะมีกฎหมายควบคุมอาวุธที่เข้มงวดออกมาเพิ่มก็ตาม จนถึงช่วงหลังปี 2000 เหตุการณ์ก็ยังเพิ่มความร้ายแรงเป็นทวีคูณขึ้นไปเรื่อย ๆ

เหตุการณ์ในปี 2017

                ย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว เหตุการณ์กราดยิงในปี 2017 ที่สร้างข่าวคราวกระทบกระเทือนจิตใจและส่งผลกระทบให้หลายคนคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยสำหรับการใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกาก็คือเหตุการณ์ที่มือปืนกราดยิงใส่ฝูงชนในเทศกาลดนตรีกลางแจ้งในเมืองลาสเวกัส โดยมือปืนที่ก่อเหตุในครั้งนี้ได้บุกเดี่ยวกราดยิงจากห้องพักชั้นบนของโรงแรมมัณฑะเลย์ เบย์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 58 คน และบาดเจ็บถึง 515 คน ส่วนตัวมือปืนเองก็ยิงตัวตายในห้องพักหลังจากก่อเหตุ ซึ่งเหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญ และร้ายแรงที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง ที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงเท่านั้น ในเดือนพฤศจิกายน 2017 ก็ยังมีการก่อเหตุกราดยิ่งในโบสถ์ของรัฐเท็กซัส ซึ่งผู้ก่อการร้ายได้เข้าไปในขณะที่มีการทำพิธีทางศาสนาในวันอาทิตย์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 27 คน และผู้บาดเจ็บ 20 คน ซึ่งคนร้ายถูกยิงเสียชีวิตในระหว่างเหตุการณ์

เหตุการณ์ในปี 2018 ที่ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น

ในปี 2018 เหตุการณ์ความรุนแรงลักษณะนี้ ก็ไม่ได้มีแนวโน้มว่าจะลดน้อยลง ตรงกันข้ามกลับทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นไปอีก ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ได้มีเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนมัธยม ในเมืองฟลอริดาอีกครั้ง ทำให้ผู้ปกครองเริ่มหวั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของบุตรหลานเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 17 คนและบาดเจ็บถึง 50 ตน ซึ่งคนร้ายที่ก่อเหตุเป็นอดีตนักเรียนวัย 18 ปีของโรงเรียนแห่งนี้นี่เอง โดยมือปืนคนนี้ได้เข้ามอบตัวในเวลาต่อมา และเหตุการณ์ล่าสุดก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งนี้เป็นการก่อเหตุในสำนักงานใหญ่ Youtube ในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยผู้ก่อเหตุเป็นมือปืน 3 คน บุกเข้าไปในตึกและก่อเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 คนและบาดเจ็บ 3 คน

                เหตุการณ์ที่มือปืนทำการกราดยิงและสาดกระสุนใส่ผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ ทำให้ทั้งชาวอเมริกาเองและชาวโลกต้องกลับมาทบทวนว่าความรุนแรงเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นเพราะกฎหมายที่เปิดโอกาสให้การซื้อปืนเป็นไปได้โดยง่าย หรือเพราะปัญหาความรุนแรงทางด้านจิตใจ ความกดดันจากสังคม ที่ทำให้มือปืนตัดสินใจก่อเหตุเหล่านี้ขึ้น