วิเคราะห์เซเล็ปศิลปินดัง กับปัญหาทางจิต ซึมเศร้า ไบโพลาร์ หรือแค่คิดไปเอง

                คนทุกคนล้วนต้องประสบกับปัญหาด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีจิตใจเข้มแข็งพร้อมเผชิญและแก้ไขปัญหาได้มากกว่ากัน ซึ่งบางคนมีความแข็งแกร่งทางจิตใจเพราะถูกฝึกมาจากครอบครัว ในขณะที่บางคนต้องปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่กับปัญหาที่แก้ไม่ได้ จนกลายเป็นปมลุกลามภายในจิตใจ ส่งผลให้เกิดโรคทางจิตที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยตัวเอง และดูเหมือนว่าคนที่มีชื่อเสียงมีหน้ามีตาในสังคมจะมีโอกาสเป็นได้มากกว่าบุคคลธรรมดา เนื่องจากภาระและความคาดหวังอันใหญ่หลวงจากคนรอบข้าง ทำให้ปมภายในจิตใจนั้นแก้ไม่ตก

ย้อนกลับไปราว ๆ 20 กว่าปีที่แล้ว ประเทศเรามีนางแบบชื่อดังมีประวัติเป็นเพียงแค่เด็กสาวธรรมดา ๆ แต่เธอได้รับโอกาสที่ดีจากผู้ใหญ่ในวงการแฟชั่น ประกอบกับการมีรูปร่างดีและใบหน้าขึ้นกล้องทำให้เธอได้โบยบินเข้าไปสู่อาชีพนางแบบระดับโลก จนได้ขึ้นปกนิตยสารชื่อดัง ด้วยความตื่นตาตื่นใจกับสังคมใหม่ ทำให้เธอได้พบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตา แต่โชคร้ายที่เธอต้องเข้าสู่วังวนของยาเสพติด และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาพลเมืองดีพบเห็นเธอเดินไร้สติอยู่ข้างถนนจนต้องพาส่งโรงพยาบาล พบว่าเธอคนนี้ก็คือนางแบบชื่อดังนามว่า ยุ้ย รจนา ผู้ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์หรือโรคอารมณ์สองขั้ว ที่ไม่ได้เข้ารับการรักษามานานจนอาการกำเริบ ความหลงระเริงจากการโด่งดังและผลของยาเสพติดทำให้เธอต้องกลายเป็นคนไม่ปกติ ซึ่งปัจจุบันยุ้ยได้รับการรักษาจากจิตแพทย์และยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้รับโอกาสให้กลับเข้าสู่วงการแฟชั่นอีกครั้งในฐานะเบื้องหลัง

อีกหนึ่งกรณีคนดังกับอาการทางจิตที่กำลังเป็นกระแสอยู่ทุกวันนี้ก็คือ กรณีของเสก โลโซ ซึ่งทำการถ่ายทอดสดกิจวัตรประจำวันของตัวเองผ่านเฟสบุ๊คตั้งแต่ตื่นนอน ล้างหน้า แปรงฟัน ทานข้าว รวมไปถึงการพาดพิงถึงบุคคลอื่น ๆ ในทางเสียหาย จนคนใกล้ชิดออกมาเปิดเผยว่าเสกมีอาการของโรคไบโพลาร์และซึมเศร้า ซึ่งหยุดการรักษาและไม่ได้รับประทานยามาหลายเดือนแล้ว ทำให้สังคมเกิดความเป็นห่วงว่าเขาอาจเข้าสู่ภาวการณ์อยากฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นภาวะขั้นสุดท้ายของโรคนี้ จนกระทั่งวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมาได้มีรายงานข่าวว่าภรรยาเก่าและลูกชายคนโตของเสกได้ทำการเข้าไปในบ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เสกพักอยู่และไม่ได้ออกมาข้างนอกกว่า 6 เดือน แม่ลูกทั้ง 2 รวมทั้งคนสนิทอีกหลายคนได้ช่วยกันนำตัวเสกไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรียบร้อยแล้ว

จะเห็นว่าผู้ป่วยทางจิตไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพลาร์ ต่างก็ต้องการความรักความเอาใจใส่จากครอบครัวและคนรอบข้าง เนื่องจากผู้ป่วยทางจิตมักจะคิดว่าตนคือคนปกติจนอาการนั้นลุกลามไปสู่ภาวะที่รักษาได้ยาก นอกจากนี้โอกาสที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ คือสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการมากที่สุดหลังจากการรักษา ดังนั้นคนรอบข้างควรทำความเข้าใจและช่วยเหลือเขาเหล่านี้อย่างเต็มที่