สันติภาพของโลกไม่มีวันตายที่ไม่ควรหลงลืมของ โคฟี่ อันนัน และ เนลสัน แมนเดลา

เมื่อพูดถึงสงครามหลายคนอาจคิดถึงความสูญเสีย แต่จะมีสักกี่คนที่อุทิศตนเพื่อให้โลกเกิดสันติสุขแม้ว่าจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลความเจริญก็ตาม การอุทิศตนเพื่อให้สังคมของตนได้รับความสงบสุขนั้นนำมาซึ่งความนับถือจากคนทั่วโลกเมื่อได้รับทราบเรื่องราวการต่อสู้ของบุคคลเหล่านี้ จนเกิดเป็นกระแสการเรียกร้องอิสระภาพและความเท่าเทียมกันของทุกคนในสังคม ถึงแม้ว่าผู้นำการเรียกร้องนี้จะต้องจากโลกไป แต่การเคลื่อนไหวเพื่ออิสระภาพและสันติสุขซึ่งมาจากอุดมการณ์ของพวกเขานั้นยังคงอยู่และถูกสืบทอดเพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงความเท่าเทียมของมวลมนุษยชาติ

เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาโลกได้สูญเสียผู้เป็นปูชนียบุคคลด้านสันติภาพนั่นก็คือ นายโคฟี่ อันนัน ชาวผิวสีคนแรกของประวัติศาสตร์ที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ ผู้ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมและเรียกร้องเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV ซึ่งเขาเสียชีวิตอย่างสงบหลังจากป่วยได้ไม่นานที่บ้านพักในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ สำหรับผลงานที่โดดเด่นของนายอันนันก็คือ เขาได้มีบทบาทในการเป็นสื่อกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศให้กับอิรัค ไนจีเรีย เลบานอนและอิสราเอล ผลงานครั้งนั้นทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพและได้เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติอีกเป็นสมัยที่ 2 ถึงแม้ว่าโลกได้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักนี้ไปแล้วแต่ปณิธานของเขาก็ได้ถูกส่งต่อไปยังสมาชิกและองค์กรทางมนุษยธรรมทั่วโลกเพื่อให้สานต่อเจตนารมณ์การสร้างสันติภาพโลกของบุคคลสำคัญผู้นี้

ถ้าใครยังจำกันได้ราว ๆ 10 กว่าปีก่อนเรามักจะเห็นชายผิวดำกับใบหน้าเปื้อนยิ้มภายใต้ร่องรอยของกาลเวลา เขาผู้นี้มีชื่อว่า เนลสัน แมนเดลา นักต่อสู้ด้านมนุษยธรรมเพื่อความเท่าเทียมของชาวแอฟริกัน แมนเดลาเกิดในครอบครัวของผู้ครองนครในแอฟริกาแต่เขาก็ไม่ได้เสวยสุขอยู่บนทรัพย์สมบัติและเฝ้ามองดูความยากลำบากของชาวเมือง แต่กลับกันเขาต่อสู้เพื่อความเสมอภาคของคนผิวดำจนพัฒนาไปสู่การตั้งกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งทำให้เขาต้องถูกจำคุกถึง 27 ปี การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้แมนเดลากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเท่าเทียมที่ไม่ใช่เพียงชาวผิวสีเท่านั้นแต่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกโดยเฉพาะประชาชนในประเทศที่มีปัญหาเรื่องเชื้อชาติ จนกระทั่งปี 2556 เนลสัน แมนเดลาได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคปอดติดเชื้อในวัย 95 ปี แต่ชื่อของเขายังคงถูกจารึกไว้ในฐานะของพ่อพระของชาวผิวสี

การต่อสู้ของนักมนุษยธรรม 2 ท่านนี้ถือได้ว่าเป็นการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมของพลเมืองโลก เนื่องจากอุดมการณ์และคติสอนใจนั้นยังคงอยู่ ให้กับชนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงการมีจิตใจแห่งความรักและความเสมอภาคกันต่อเพื่อนมนุษย์ซึ่งเป็นรากฐานของการอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขในสังคมปัจจุบันนี้