ลิเวอร์พลูกับแชมป์พรีเมียลีก ประวัติศาสตร์แห่งการรอคอยในรอบ 30 ปี

เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2020 ที่ผ่านมา แฟนบอลโดยเฉพาะบรรดาเดอะ ค็อป เกือบทุกมุมโลกได้ลุกขึ้นมาเฮละโลโห่ร้องไปพร้อมกันด้วยความดีใจ หลังผลการแข่งขันของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี ที่เป็นรองจ่าฝูง พ่ายแพ้ให้กับสโมสรเชลซี ด้วยสกอร์ 1-2 ประตู ส่งผลให้ลิเวอร์พูลที่มีสถานะเป็นจ่าฝูงผงาดเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ในฤดูกาล 2019/2020 ทันที

สิ้นสุดการรอคอยที่ยาวนาน 30 ปี

เมื่อขึ้นเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก หลังจากที่ลิเวอร์พูลรอคอยวันนี้มายาวนานถึง 30 ปี ตั้งแต่ปี 1990 ทำให้ทีมหงส์แดงทำสถิติการความแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษจำนวนสมัยมากที่สุดเป็นอันดับ 2 นั่นคือ 19 สมัย เป็นรองเพียงสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่มีสถิติครองแชมป์มา 20 สมัย ด้วยการรอคอยด้วยความอดทนอันแสนยาวนานของบรรดาแฟนบอลของลิเวอร์พูล จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ในวินาทีที่ผลออกมาว่าทีมอันเป็นที่รักได้ครองถ้วยรางวัลประวัติศาสตร์นี้ เหล่าบรรดาแฟนบอลต่างออกมาตะโกนโห่ร้องไปตามท้องถนนให้สมกับการรอคอย

การหลั่งไหล่ของผู้คนมากมายเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส แต่ก็ไม่ได้ทำให้แฟนบอลผู้มีความฮึกเหิมในหัวใจกลัวเกรงแม้แต่น้อย เพียงเวลาไม่นานบนถนนที่เคยเงียบสงัดก็ปรากฏธงที่มีสัญลักษณ์ของสโมสรโบกไปมาทั้งจากผู้คนที่อยู่บนพื้นถนน รวมไปถึงจากระเบียงและหน้าต่างบ้านเรือน มีการใช้พลุและดอกไม้ไฟจุดเพื่อแสดงความยินดีไปตามท้องถนน แน่นอนว่าจุดมุ่งหมายของการเฉลิมฉลองนั้นต้องอยู่ที่สนามแอนฟีลด์

บรรดาแฟนบอลหลายร้อยคนได้ปลดปล่อยความอัดอั้นจากมาตรการห้ามเข้าสนามของรัฐบาล ที่พยายามป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ทำให้เมื่อมีโอกาสได้ฉลองแชมป์ในรอบ 30 ปี ก็แทบจะไม่มีใครอยากพลาดการเป็นส่วนหนี่งของช่วงเวลาประวัติศาสตร์ไป แต่ก็เกือบเป็นเรื่องราวใหญ่โตเมื่อการฉลองในคืนที่ 2 แฟนหงส์แดงที่คึกเกินเหตุก็เกือบทำให้เกิดไฟไหม้ที่ตึกไลเวอร์ จนนายกเทศมนตรีของเมืองลิเวอร์พูลต้องออกมาขอร้องบรรดาแฟนบอลให้กลับบ้านเพื่อความปลอดภัย

การฉลองที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่ประเทศอังกฤษ

เพียงข้ามคืนการครองแชมป์ครั้งประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูดก็ได้สร้างปรากฏการณ์การเฉลิมฉลองแสดงความยินดีจากบรรดาแฟนบอลทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า เพราะบรรดาแฟนบอลของลิเวอร์พูลก็แสดงความดีใจกัน ในแบบที่มีการจัดขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่อลังการเพื่อประกาศศักดาของทีมฟุตบอลที่รักมาอย่างยาวนาน

คงจะเห็นแล้วว่าความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูล ที่นอกจะเป็นสโมสรฟุตบอลที่โด่งดังแล้ว ก็ยังเป็นศูนย์รวมความสำเร็จและแรงบันดาลใจของใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะด้วยประวัติศาสตร์ของทีม หรือจากตัวนักเตะที่มักเป็นแรงผลักดันให้เยาวชนจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนาน และเชื่อว่าในอนาคตทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูลก็ยังจะสร้างประวัติศาสตร์ให้ตัวเองไปอีกยาวนาน

ซาดิโอ มาเน่ คนหัวร้อน 2019!!

ไม่บ่อยนักที่แฟนบอลทั่วโลกจะได้เห็นนักฟุตบอลซุปเปอร์สตาร์ออกอาการวีนแตกใส่เพื่อนร่วมทีมในระหว่างเกมการแข่งขัน เหมือนกรณีของ ซาดิโอ มาเน่ ที่ระเบิดอารมณ์ถึงเพื่อนร่วมทีมอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในเกมที่ลิเวอร์พูลบุกไปถล่มเบิร์นลีย์ถึงถิ่นเทิร์ฟมัวร์ 3-0 จนแย่งซีนเหนือชัยชนะของทีมไปจนหมด

                ต้นเหตุความหัวร้อนของนักเตะเซเนกัลมาจากการเล่นของซาลาห์ที่หวงบอลไว้เล่นเอง ทั้งที่ควรจะจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกซาลาห์เลี้ยงจี้เข้าหากรอบเขตโทษเบิร์นลีย์ก่อนจะยิงเบาหวิวไปตรงตัวผู้รักษาประตู ทั้งที่สองเพื่อนร่วมทีมอย่างมาเน่ และโรแบร์โต ฟิร์เมียโน่ อยู่ในตำแหน่งที่มีโอกาสทำประตูได้ดีกว่า และอีกครั้งในจังหวะที่ซาลาห์ได้บอลในเขตโทษ ทั้งที่เห็นว่ามาเน่ยืนโล่งไร้ตัวประกบ ปีกชาวอียิปต์กลับเลือกที่จะล็อกหลบคู่แข่งเพื่อหาโอกาสยิงเอง ก่อนจะถูกกองหลังเจ้าถิ่นสกัดบอลออกหลังไปแบบไม่ได้ลุ้นทำประตู หลังจากนั้นไม่กี่นาทีมาเน่ก็เป็นฝ่ายถูกเปลี่ยนตัวออก ส่งผลให้อารมณ์ที่ยังครุกรุ่นระเบิดออกมาทันทีที่ถึงซุ้มม้านั่งสำรอง ร้อนถึงเจมส์ มิลเนอร์ ต้องเข้ามาดึงอารมณ์รุ่นน้องให้เย็นลง

                ปกติแล้วปีกชาวเซเนกัลจะเป็นคนที่ใจเย็น เงียบขรึม แถมยังเคร่งศาสนา การระเบิดอารมณ์ออกมาใส่สต๊าฟโค้ชบนซุ้มม้านั่งสำรอง ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกีฬาอย่าง VWIN จึงมองว่าไม่ใช่พฤติกรรมปกติของเจ้าตัว สร้างความตกใจในหมู่ทีมงาน เพื่อนนักเตะ และแฟนบอลเป็นอย่างมาก ซึ่งเข้าใจได้ว่านั้นเพราะความุ่นมั่นที่มีต่อเกม ซึ่งผลประตูได้เสียก็มีผลต่อการลุ้นแชมป์ในปีนี้ด้วย แถมระยะหลังมานี้ตัวมาเน่มักจะถูกเปลี่ยนตัวออกอยู่เสมอ แม้แต่ในเกมนี้ที่เขาเล่นดีและยิงประตูให้ทีมได้ ต่างจากคู่กรณีที่บ่อยครั้งมักจะเล่นแบบเห็นแก่ตัว แต่ก็ยังได้รับโอกาสให้อยู่ในสนามจนจบเกม

                แม้แต่เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีมเองก็ยังอดแปลกใจต่อการการกระทำของมาเน่ไม่ได้ แต่ก็ยังแสดงความเข้าใจในพฤติกรรมของลูกทีม และคิดว่าทุกอย่างจะคลี่คลายเมื่อเรียกทั้งคู่มาปรับความเข้าใจกันในห้องแต่งตัว นอกจากนั้นกุนซือชาวเยอรมันยังมองว่านี่ถือเป็นเรื่องดีที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเหล่านักเตะที่ต้องการคว้าแชมป์ลีกให้ได้ หลังจากผิดหวังมาจากปีก่อน

                การเรียกทั้งคู่มาเคลียร์ใจหลังเกมน่าจะเป็นไปอย่างเรียบร้อย และไม่ส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของทีมลิเวอร์พูลที่เปิดฉากฤดูกาลใหม่อย่างสวยหรู เก็บได้ 12 แต้มเต็มจาก 4 นัด ครองตำแหน่งจ่าฝูงอยู่ในขณะนี้ แถมยังอาจช่วยปรับปรุงวิธีการเล่นของซาลาห์ให้หันมาเล่นเพื่อทีมมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งยกระดับความน่ากลัวให้กับเกมบุกของทีมหงส์แดงขึ้นไปอีกด้วย