การป้องกันตัวเอง ให้ห่างไกลจากการเป็นโรคซึมเศร้า

การเป็นโรคซึมเศร้าเหมือนการเป็นหวัด หากร่างกายหรือจิตใจไม่แข็งแรงโรคภัยย่อมมาเยืยนแน่นอน กรมสุขภาพจิตออกมาเปิดเผยว่าจำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกปี อัตราการฆ่าตัวตายก็พุ่งสูงขึ้น และเริ่มเกิดคำถามตามมาว่าเราสามารถป้องกันตัวเองจากการเป็นโรคนี้ได้หรือไม่ เหมือนกันการควบคุมปริมาณน้ำตาลที่บริโภคเข้าไปเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นโรคเบาหวาน โดยที่เราเองไม่สามารถป้องกันตัวเองจากโรคนี้ได้ 100 เปอร์เซ็น แต่เราสามารถเปลี่ยนวิธีรับมือกับความเครียดของตัวเองหรือป้องกันไม่ให้โรคซึมเศร้าที่เป็นอยู่อาการหนักขึ้นได้

  1. หาวิธีการจัดการความเครียดที่เหมาะกับตัวเอง ความเครียดหากไม่ได้รับการจัดการที่เหมาะสมอาจจะทำให้เกิดโรคซึมเศร้า และโรคอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น โรคความดันโลหิตสูง นอนไม่หลับ โรคหัวใจ เป็นต้น ทักษะการจัดการความเครียดเป็นทักษะที่จำเป็นและสามารถพัฒนาได้
  2. สร้าง Self esteem หรือความภูมิใจในตัวเองหรือการเคารพตัวเองให้เพิ่มมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเปิดเผยว่า คนที่มีการเคารพตัวเองต่ำมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคทางจิตเวชมากกว่าคนที่มีการเคารพในตัวเองสูง หากคุณรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ตัวเองไม่เป็นที่รัก ตัวเองไม่มีศักยภาพมากพอที่จะกระทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ หรือรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไปเท่าไหร่ก็ไม่มีวันดีพอ นี่คือสัญญาณว่าคุณมีการเคารพตัวเองต่ำ ซึ่งสามารถขอความช่วยเหลือและทางออกจากนักจิตบำบัด นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ได้ แม้ว่าแนวคิดดังกล่าวอาจจะไม่ได้นำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าเสมอไป แต่ความคิดเหล่านั้นไม่อาจทำให้เจ้าของความคิดมีความสุขกับตัวเองมากนัก
  3. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนส่งผลกระทบโดยตรงกับสารสื่อประสาทในสมอง การทำงานของอวัยวะในร่างกาย การฟื้นตัวของร่างกาย หากนอนไม่พอเป็นระยะเวลาหนึ่งร่างกายจะเกิดความเครียดสะสม เกิดความตึงเครียดในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นที่ก่อให้เกิดโรคซึมเศร้าหรือไบโพล่าได้ และหากเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ การพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้อาการของโรคหนักขึ้น โดยการนอนไม่พอก็สามารถก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย หากไม่สามารถนอนหลับให้สนิทได้ด้วยตัวเองควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขหรือเอ็นโดฟินออกมา เนื่องจากอีกสาเหตุหนึ่งในการเป็นโรคซึมเศร้าคือสารสื่อประสาทคือสารเคมีในสมองเสียสมดุล การออกกำลังกายก็เป็นอีกวิธีง่าย ๆ ในการช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลดังกล่าวให้เป็นปกติได้ง่ายขึ้น
  5. สื่อที่เรารับเข้ามาในแต่ละวัน จะเห็นว่าสื่อหลาย ๆ สำนักพยายามเสนอข่าวโดยใช้อารมณ์ของผู้เสพสื่อเป็นหลัก ถ้อยคำที่ใช้ในการนำเสนอ เป็นถ้อยคำที่พยายามจะดึงอารมณ์ของคนรับสื่อออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อให้สุขที่สุด เศร้าที่สุด สลดใจที่สุด และสะเทือนใจที่สุด หากเราเสพสื่ออย่างไม่รู้เท่าทัน สื่อที่เราเสพจะส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกเราเกิดเป็นอารมณ์ตกค้าง เกิดความเครียดโดยไม่จำเป็น ในที่นี้รวมถึงละครที่ดู หนังสือที่อ่าน และเพลงที่ฟังด้วย

การป้องกันตัวเองจากโรคซึมเศร้าเป็นการป้องกันขั้นพื้นฐานแม้ว่าจะทำตามขั้นตอนทุกอย่างก็ไม่ได้การันตีว่าเราจะไม่เป็นโรคนี้อีกเลยตลอดชีวิต เนื่องจากในหลาย ๆ ครั้งการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเกิดจากสาเหตุที่ไม่สามารถป้องกันล่วงหน้าได้เช่น การเสียบุคคลที่รักโดยไม่ทันตั้งตัว หรือการเพิ่งผ่านเหตุการที่กระทบกระเทือนจริงใจอย่างร้ายแรง เช่น การถูกข่มขืน หากแต่เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นและเราไม่สามารถผ่านพ้นมันไปได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจะสามารถทำให้เราก้าวผ่านได้ง่ายขึ้น

ทำอาหารทานเอง เสน่ห์ปลายจวัก มัดใจคนในครอบครัว

ในปัจจุบันนี้มีผู้ที่สนใจหันมาทำอาหารเพื่อรับประทานเองมากขึ้น เนื่องจากการทำอาหารทานเองนั้นเราสามารถดูแลเรื่องความสะอาดของอาหาร รวมทั้งรสชาติของอาหารที่เราต้องการได้เป็นอย่างดี ซึ่งสังเกตได้จากในช่วงนี้มีรายการเรียลลิตี้โชว์แข่งขันการประกอบอาหารมากมายในทีวี ผู้เข้าแข่งขันที่ไม่ใช่เชฟหรือพ่อครัวแม่ครัวมาสมัครร่วมแข่งขันในรายการมากขึ้น และกำลังได้รับความสนใจ มียอดวิวทางช่องยูทูปสูงเป็นหลายล้านวิวเลยทีเดียว ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ที่หลงใหลในการปรุงอาหารนั้น ย่อมหาข้อมูลและคิดค้นผสมผสานเมนูสูตรใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย จนกลายเป็นอาหารฟิวชั่น ส่งผลให้มีร้านอาหารนานาชาติที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปเกิดขึ้นมากมายในปัจจุบันนี้ และแน่นอนว่าการทำอาหารเพื่อรับประทานเองภายในครอบครัวนั้นมีข้อดีอยู่มากมายดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

  1. ความสะอาด และนี่เป็นเหตุผลหลักที่ผู้คนส่วนมากนิยมซื้อวัตถุดิบกลับมาปรุงอาหารทานเองที่บ้าน เนื่องจากการทำอาหารเองนั้น สามารถล้างทำความสะอาดวัตถุดิบและอุปกรณ์เครื่องครัวได้มากตามความพอใจ และยังรู้แหล่งที่มาที่ไปของส่วนผสมในอาหารนั้นได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นับว่าปัจจัยข้อนี้เป็นข้อแรกเลยก็ว่าได้ที่คนหันมาทำอาหารทานเองภายในครอบครัว
  2. รสชาติที่ถูกปากของคนในครอบครัว แน่นอนว่าการทำอาหารเองนั้นเราสามารถใส่เครื่องปรุงรสต่าง ๆ ได้ตามความชอบโดยไม่จำเป็นต้องกลัวสิ้นเปลืองแต่อย่างใด หรือหากต้องการให้อาหารมีรสชาติเผ็ด เปรี้ยว หวาน หรือเค็มนั้น สามารถปรุงได้ตามความพอใจ และหากเมื่อทานไปแล้วยังรู้สึกว่าไม่อร่อย ยังสามารถนำอาหารกลับมาปรุงใหม่ได้
  3. ประหยัดค่าอาหาร เนื่องจากการซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเองนั้นจะซื้อได้ในราคาที่ถูกและเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อเราทำอาหารในแต่ละครั้งนั้นยังสามารถเก็บไว้รับประทานในมื้ออื่น ๆ ได้อีก หรืออาจนำวัตถุดิบมาใช้แค่ครึ่งเดียว และเก็บเอาไว้ทำอาหารในมื้อต่อไปได้โดยแช่ตู้เย็นไว้ ซึ่งวัตถุดิบที่เป็นผักหรือเนื้อสัตว์นั้นสามารถอยู่ได้นานหลายวัน
  4. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทำกิจกรรมในครอบครัว ซึ่งแน่นอนว่าการทำอาหารทานเองในครอบครัวนั้นจะใช้เวลาค่อนข้างมากในการเตรียมและการประกอบอาหาร ดังนั้นการมีลูกมือคอยช่วยเหลือหยิบจับทำให้ประหยัดเวลาในการทำอาหารไปได้ค่อนข้างมาก ซึ่งหากคนในครอบครัวช่วยกันแล้วนั้น จะทำให้เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของครอบครัวในการช่วยเหลือกัน และมีการสนทนาพูดคุยกันระหว่างการประกอบอาหารนั่นเอง

ซึ่งสำหรับคนที่ชอบทำอาหารและมีเสน่ห์ปลายจวักทั้งหลาย ควรเลือกที่จะประกอบอาหารทานเองมากกว่าที่จะไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งนอกจากเหตุผลดี ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังเพื่อเป็นการฝึกฝีมือของตนเองและพัฒนาให้ดีมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปต่อยอดเพื่อเปิดกิจการร้านอาหารได้ในอนาคต อีกทั้งยังทำเป็นอาชีพกับสิ่งที่ตนเองรักได้อีกด้วย

อุทาหรณ์ “อาการวูบ” หมดสติจนต้องหามส่งโรงพยาบาลของคนดัง ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

“งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข” เชื่อว่าหลายคนใช้คตินี้เป็นเครื่องเตือนใจเพื่อให้ขยันทำงานหาเงินสำหรับค่าครองชีพประจำตัวหรือค่าใช้จ่ายของครอบครัว ส่งผลให้ต้องประสบปัญหาสุขภาพจากการโหมงานหนัก ซึ่งหลายครั้งที่ร่างกายใช้วิธีเตือนด้วยอาการผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้เรามองข้ามความผิดปกตินั้นเพราะเชื่อว่าร่างกายยังแข็งแรงและพร้อมที่จะสู้กับงานหนักทุกประเภทที่ประดังประเดเข้ามา ด้วยใจสู้แต่ร่างกายที่ไม่พร้อมทำให้เกิดปัญหาสุขภาพแบบเฉียบพลัน โดยเรามักจะเห็นตัวอย่างการทำงานหนักจนร่างกายอ่อนล้าจากข่าวของคนดังอยู่บ่อย ๆ ซึ่งเรื่องราวของผู้คนเหล่านี้เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนจิตใจให้ทำงานแต่พอดีและรักษาสุขภาพสม่ำเสมอ

ล่าสุดได้มีการรายงานข่าวด่วนถึงการโหมงานหนักของดาราจนเกิดอาการวูบกลางกองถ่าย โดยใครจะเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันของดาราขาร็อครุ่นใหญ่อย่าง อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ซึ่งคนใกล้ชิดเปิดเผยว่าคุณอ๊อฟมีอาการหมดสติระหว่างการถ่ายทำละครจนต้องหามส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน ภายหลังแพทย์ได้ระบุว่าคุณอ๊อฟมีอาการของเส้นเลือดในสมองตีบจนต้องเข้ารับการรักษาอยู่ภายในห้อง ICU ส่งผลให้การถ่ายทำละครต้องชะงักลง นอกจากนี้คอนเสิร์ตของคุณอ๊อฟและเหล่าเพื่อน ๆ นักร้องที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้าต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพื่อให้คุณอ๊อฟได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ก่อนจึงจะสามารถประกาศวันจัดงานที่ชัดเจนได้ ซึ่งขณะนี้คุณอ๊อฟได้ออกจากห้อง ICU แล้วและย้ายมาพักฟื้นที่ห้องปกติเพื่อรอดูอาการ หลังจากดีขึ้นจึงจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้

แต่เรื่องโชคดีนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนเสมอไป เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา เฮียนอส หรือนายอภิสิทธิ์ อภิสุขสิริ ผู้ดำเนินรายการสปอร์ตไกด์ FM 99 ACTIVE  RADIO ถูกญาติพบว่านอนหมดสติอยู่ในบ้านพักย่านคู้บอน จนต้องเรียกรถมูลนิธิเพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ได้ทำการปั๊มหัวใจอยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลและไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้ ต่อมาได้มีการให้ข้อมูลจากครอบครัวว่าเฮียนอสมีโรคประจำตัวคือ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและโรคเบาหวาน แต่ไม่คิดว่าจะมีภาวะของโรคหัวใจแทรกซ้อนจนเกิดอาการวูบเช่นนี้ ซึ่งหลังจากออกจากโรงพยาบาลครอบครัวจะนำร่างของเฮียนอสไปบำเพ็ญกุศลตามหลักศาสนาต่อไป

เป็นที่ทราบกันดีว่าอาการวูบเปรียบได้กับสัญญาณเตือนสุดท้ายว่าร่างกายถึงขีดจำกัดแล้ว บางคนโชคดีที่ในขณะวูบนั้นศีรษะไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแต่บางคนกลับโชคร้ายต้องเสียชีวิตจากอาการวูบ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้ร่างกายต้องใช้สัญญาณเตือนที่อันตรายเช่นนี้ เพียงแค่คุณดูแลสุขภาพและเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อค้นหาโรคภัยที่หลบซ่อนอยู่และรักษาให้ได้ทันท่วงทีจะได้ไม่เกิดการสูญเสียที่ไม่คาดฝันให้เป็นที่เศร้าใจของครอบครัว

 

วิเคราะห์เซเล็ปศิลปินดัง กับปัญหาทางจิต ซึมเศร้า ไบโพลาร์ หรือแค่คิดไปเอง

                คนทุกคนล้วนต้องประสบกับปัญหาด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีจิตใจเข้มแข็งพร้อมเผชิญและแก้ไขปัญหาได้มากกว่ากัน ซึ่งบางคนมีความแข็งแกร่งทางจิตใจเพราะถูกฝึกมาจากครอบครัว ในขณะที่บางคนต้องปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่กับปัญหาที่แก้ไม่ได้ จนกลายเป็นปมลุกลามภายในจิตใจ ส่งผลให้เกิดโรคทางจิตที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยตัวเอง และดูเหมือนว่าคนที่มีชื่อเสียงมีหน้ามีตาในสังคมจะมีโอกาสเป็นได้มากกว่าบุคคลธรรมดา เนื่องจากภาระและความคาดหวังอันใหญ่หลวงจากคนรอบข้าง ทำให้ปมภายในจิตใจนั้นแก้ไม่ตก

ย้อนกลับไปราว ๆ 20 กว่าปีที่แล้ว ประเทศเรามีนางแบบชื่อดังมีประวัติเป็นเพียงแค่เด็กสาวธรรมดา ๆ แต่เธอได้รับโอกาสที่ดีจากผู้ใหญ่ในวงการแฟชั่น ประกอบกับการมีรูปร่างดีและใบหน้าขึ้นกล้องทำให้เธอได้โบยบินเข้าไปสู่อาชีพนางแบบระดับโลก จนได้ขึ้นปกนิตยสารชื่อดัง ด้วยความตื่นตาตื่นใจกับสังคมใหม่ ทำให้เธอได้พบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตา แต่โชคร้ายที่เธอต้องเข้าสู่วังวนของยาเสพติด และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาพลเมืองดีพบเห็นเธอเดินไร้สติอยู่ข้างถนนจนต้องพาส่งโรงพยาบาล พบว่าเธอคนนี้ก็คือนางแบบชื่อดังนามว่า ยุ้ย รจนา ผู้ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์หรือโรคอารมณ์สองขั้ว ที่ไม่ได้เข้ารับการรักษามานานจนอาการกำเริบ ความหลงระเริงจากการโด่งดังและผลของยาเสพติดทำให้เธอต้องกลายเป็นคนไม่ปกติ ซึ่งปัจจุบันยุ้ยได้รับการรักษาจากจิตแพทย์และยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้รับโอกาสให้กลับเข้าสู่วงการแฟชั่นอีกครั้งในฐานะเบื้องหลัง

อีกหนึ่งกรณีคนดังกับอาการทางจิตที่กำลังเป็นกระแสอยู่ทุกวันนี้ก็คือ กรณีของเสก โลโซ ซึ่งทำการถ่ายทอดสดกิจวัตรประจำวันของตัวเองผ่านเฟสบุ๊คตั้งแต่ตื่นนอน ล้างหน้า แปรงฟัน ทานข้าว รวมไปถึงการพาดพิงถึงบุคคลอื่น ๆ ในทางเสียหาย จนคนใกล้ชิดออกมาเปิดเผยว่าเสกมีอาการของโรคไบโพลาร์และซึมเศร้า ซึ่งหยุดการรักษาและไม่ได้รับประทานยามาหลายเดือนแล้ว ทำให้สังคมเกิดความเป็นห่วงว่าเขาอาจเข้าสู่ภาวการณ์อยากฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นภาวะขั้นสุดท้ายของโรคนี้ จนกระทั่งวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมาได้มีรายงานข่าวว่าภรรยาเก่าและลูกชายคนโตของเสกได้ทำการเข้าไปในบ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เสกพักอยู่และไม่ได้ออกมาข้างนอกกว่า 6 เดือน แม่ลูกทั้ง 2 รวมทั้งคนสนิทอีกหลายคนได้ช่วยกันนำตัวเสกไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรียบร้อยแล้ว

จะเห็นว่าผู้ป่วยทางจิตไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพลาร์ ต่างก็ต้องการความรักความเอาใจใส่จากครอบครัวและคนรอบข้าง เนื่องจากผู้ป่วยทางจิตมักจะคิดว่าตนคือคนปกติจนอาการนั้นลุกลามไปสู่ภาวะที่รักษาได้ยาก นอกจากนี้โอกาสที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ คือสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการมากที่สุดหลังจากการรักษา ดังนั้นคนรอบข้างควรทำความเข้าใจและช่วยเหลือเขาเหล่านี้อย่างเต็มที่

 

สังคมสี่เหลี่ยม กับปัญหาสุขภาพของคนที่ติดมือถือ

                การต้องพกโทรศัพท์ไปด้วยตลอดเวลา ต้องโพสข้อความทุก ๆ 10 นาที ต้องการขอกำลังใจจากชาวโซเชียลอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ส่งข้อความแทนการเดินเข้าไปพูดคุย รู้ดีเมื่อโทรศัพท์มีแจ้งเตือนตลอดเวลา สบตาผู้คนน้อยลง พกโทรศัพท์เข้าห้องน้ำด้วยแม้นว่าจะไปอาบน้ำก็ตาม หากคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้ นั้นหมายถึงว่าคุณติดโทรศัพท์มือถือมากจนเกินไป จนขาดการเข้าสังคมเสีย และกำลังจะสูญเสียสุขภาพสายตาแล้ว

หากสิ่งไหนที่มากเกินไปย่องเกิดผลร้ายต่อตัวคุณเสมอ การที่ติดโทรศัพท์มากจนเกินไปมีผลเสียหลักต่อหน้าที่การงานของคุณอย่างแน่นอน หากอยู่ในวัยเรียนจะทำให้ผลการเรียนออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ไม่มีสมาธิอยู่กับบทเรียน อยู่กับหนังสือที่จะต้องอ่าน หากอยู่ในวัยทำงานจะส่งผลทำให้งานไม่เสร็จ ส่งงานไม่ทันตามกำหนดเวลา เจ้านายดุ เผลอ ๆ อาจจะถึงขั้นโดนไล่ออกก็เป็นได้ และกับร่างกายของคุณก็จะมีผลเสียไปด้วย

มองจอมากเกินไปสุขภาพจะเสียได้

ในการใช้โทรศัพท์มือถือในการท่องโซเชียลต่าง ๆ หรือในการเล่นเกม มักจะต้องใช้สายตาในการจดจ่อ เพ่งมองในสิ่งที่เราสนใจ นั้นทำให้ดวงตาอาจมีปัญหาได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บตา ตาล้า ตาช้ำ ตาแดง เนื่องจากถือมือถือไม่ได้อยู่ในระดับสายตาที่เหมาะสม หรือความสว่างหน้าจอไม่เหมาะสม รวมไปถึงอันตรายจากแสงสีฟ้าที่ได้รับจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือนั้นเอง

อีกทั้งยังมีอาการทางกล้ามเนื้อหลัง หรือกระดูกสันหลัง เนื่องจากท่านั่งและถือโทรศัพท์มือถือ ส่วนใหญ่แล้วจะนั่งกันไม่ถูกท่า จนทำให้ปวดบ่า ปวดหลัง ปวดเอว และอาจส่งผลในระยะยาวจนทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมได้ในอนาคตหากนั่งผิดท่าต่อไป

ยังมีประเด็นในเรื่องของนิ้ว ที่ใช้ในการกด ๆ จิ้ม ๆ ปุ่ม หรือแป้นพิมพ์ ที่อาจจะเกิดอาการนิ้วล็อก หรือนิ้วค้างได้ เพราะการเคลื่อนไหวนิ้วที่อยู่ในบริเวณที่จำกัด ท่าที่จำกัดอยู่บริเวณหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เท่านั้น

นักวิจัยได้ค้นคว้าวิจัยมาแล้วว่า โทรศัพท์มือถือจะปล่อยคลื่นออกมาทำร้ายสมองของเราได้หาก โทรศัพท์อยู่ใกล้บริเวณหัวมากกว่าระยะ 1 เมตร นั้นหมายความว่าถ้าเราใช้โทรศัพท์ตลอดเวลา หรือนอนข้าง ๆ โทรศัพท์มือถือ คลื่นไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือก็จะทำร้ายสมองของเราอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

การดูแลร่างกายและการใช้โทรศัพท์ให้ถูกต้อง

หากมีดวงตาเริ่มมีปัญหาจากการใช้โทรศัพท์มือถือมากจนเกินไป ควรหันมาดูแลสุขภาพร่างกายโดยการปะคบเย็นรอบ ๆ ดวงตา และแบ่งเวลาพักผ่อนให้ดวงตาโดยการนอนพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 7 ชั่วโมง หากปวดหลังควรยืดเส้นยืดสายด้วยการออกกำลังกาย

ส่วนการใช้โทรศัพท์มือถือให้ถูกต้อง ไม่ควรนำโทรศัพท์มาแนบหูนานเกินไป ควรใช้หูฟังแทนการแนบหูกับโทรศัพท์โดยตรง หากต้องการใช้โทรศัพท์เป็นนาฬิกาปลุกในแต่ละวัน หรือกลัวมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน ควรวางห่างจากตัว หรือวางไว้บนโต๊ะทำงานข้างเตียง แทนการวางไว้บนที่นอน หรือวางไว้ใต้หมอนนั่นเอง

โทรศัพท์มีทั้งประโยชน์และโทษในสิ่งเดียวกัน หากเราใช้ให้ถูกวิธีเราก็จะได้ประโยชน์จากโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ แต่หากใช้มากจนเกินไปนอกจากจะทำร้ายสุขภาพแล้ว ยังทำให้เกิดผลเสียต่าง ๆ มากมายตามมากับเราอีกด้วย ไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรเนื่องจากไปจดจ่อมากจนเกินไปจนสุญเสียยังคมรอข้างแล้วยังเสียสุขภาพอีกด้วย