คำถามที่ควรถามตัวเองก่อนเริ่มต้นความสัมพันธ์

ในสังคมที่โลกอินเตอร์เน็ตทั้งใบอยู่ในมือเราตลอดเวลา ความเคลื่อนไหวของคนอื่นในโลกออนไลน์คือสิ่งที่หลาย ๆ คนเสพข้อมูลเข้าไปทุกวัน คนนั้นทำกิจกรรมนั้น คนนี้ทำกิจกรรมนี้ เลื่อนผ่านไทม์ไลน์เราไม่มีที่จบสิ้น การสื่อสาร การแสดงความคิดเห็น การหันด้านใดด้านนึงให้คนในโลกโซเชียลได้เห็นดูเป็นเรื่องปกติที่ใครเค้าก็ทำกัน อีกทั้งมองไปทางไหนก็เป็นคนมีคู่ จับมือถือแขน ควงแขนกันไปกินข้าว ไปเที่ยวพักผ่อนสุดสัปดาห์ ผู้คนในรูปช่างดูมีความสุข ชวนฝัน ดูทุกคนช่างสุขล้ำ   ทำให้บางครั้งรู้สึกว่าเราเองก็อยากมีประสบการณ์แบบนั้นบ้างเหมือนกัน กลายเป็นว่าแฟน คืออีกสิ่งที่จำเป็นต้องมี เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งในชีวิตของใครหลาย ๆ คน พอมองไปที่พวกเขา แล้วมองกลับมาที่ตัวเอง ทำให้หลายคนรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันหายไปจากชีวิต สื่อหลายที่ถึงขั้นเผยแพร่ข้อมูลว่า คนเราควรแต่งงานในช่วงอายุเท่าใดถึงจะเหล่าสม กลายเป็นชุดความคิด การเป็นข้อมูลที่บีบบังคับให้คนที่เสพสื่อโดยไม่ตั้งข้อสงสัยรู้สึกว่าตัวเอง ต้องมีให้ได้ ต้องหาให้ได้ เวลาของเราใกล้จะหมดลงแล้ว เราต้องมีเหมือนคนอื่นชีวิตจึงจะสมบูรณ์ ต้องไปขอพรจากสถานที่ต่าง ๆ กลายเป็นความกระวนกระวายและความทุกข์ ที่เราไม่เคยตั้งคำถามด้วยซ้ำ ว่าความกระวนกระวายและความทุกข์เหล่านั้น จำเป็นสำหรับเราหรือไม่

การอยากมีแฟนหรือคนรักไม่ใช่เรื่องผิดบาป เพียงแต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความต้องการนั้น เป็นความต้องการของตัวเราจริง ๆ ดังนั้น คำถามต่อไปนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อเป็นคำถามที่ทำให้เรารู้จักตัวเองและความต้องการของตัวเองมากขึ้น ก่อนที่จะทำความรู้จักอีกคนและความต้องการของอีกคน

  1. เราพร้อมไหม การเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่กับใครสักคนเราต้องถามตัวเองให้แน่ชัดว่าตัวของเราพร้อมหรือเปล่า การคบหาดูใจใช้ทั้งเวลา ความเอาใจใส่ การจัดการเวลา หากเราเรียนหรือทำงานยุ่งมากแล้วรับอีกคนเข้ามาใช้ชีวิต หากไม่เคียร์กันให้ดีกลายเป็นว่าเราไม่สามารถดูแลเค้าได้อย่างเต็มที่ กลายเป็นว่าเราไม่สามารถให้เวลากับเค้าได้อย่างเพียงพอกลายเป็นปัญหาตามมาได้ เราเองสามารถจัดการตัวเองตรงนี้ได้ไหม
  2. เราตัดใจจากคนรักเก่าได้แล้วหรือยัง ในบางสถานการณ์บางคนอาจจะอยากได้ใครสักคนเข้ามาเพื่อให้ตัวเองสามารถลืมแฟนเก่าของตัวเองได้ อยากหาใครก็ได้เพื่อมาทำหน้าที่แทน เพื่อมาเป็นตัวแทน การกระทำแบบนี้หากอีกฝ่ายรู้ว่าเค้าเป็นได้แค่ตัวแทนเท่านั้น ยังแต่จะสร้างความเจ็บปวดและปัญหาที่ซับซ้อนไม่รู้จบ กลายเป็นว่าเราเองก็เจ็บมาแล้วก็ไปทำร้ายจิตใจของคนที่เข้ามาอีกต่อหนึ่ง
  3. เราต้องการอะไรจากความสัมพันธ์ การรู้จักความต้องการที่แท้จริงของตัวเองทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นเมื่อจะรับอีกคนเข้ามาในชีวิต หากคุณต้องการความสัมพันธ์ที่จริงจัง เป็นคู่ชีวิต เป็นคนที่คอยเป็นกำลังใจและมอบสิ่งดีให้กัน หากแต่อีกคนต้องการแค่คนคุยสนุกฆ่าเวลา ความต้องการของทั้งสองฝ่ายย่อมไม่ตรงกัน เราจะสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าจะหาทางออกร่วมกันอย่างไร
  4. ความต้องการมีคู่เป็นความต้องการของเราจริง ๆ หรือเปล่า คำถามข้อนี้สำคัญมาก เราต้องการสร้างความสัมพันธ์กับอีกคนจริง ๆ หรือเป็นความต้องการของพ่อแม่ ที่ต้องการให้เราเป็นฝั่งเป็นฝา เป็นความกดดันของสังคมที่เฝ้าถามเราไม่หยุดว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน หรือเป็นความต้องการที่ว่า เรามีความสุข เราประสบความสำเร็จแล้วและเราต้องการแบ่งปันความสุขนั้นกับใครอีกคน

เมื่อเราได้ค้นพบคำตอบเหล่านี้แล้ว มันจะทำให้เราได้รู้ตัวมากขึ้นว่าเราจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมาหรือไม่ และไม่ทำให้ตัวเราไหลไปกับกระแสสังคมที่บางครั้งกระแสเหล่านั้นไม่ได้ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงในจิตใจของเรา หากพ่อแม่ต้องการให้เราแต่งงานเพียงเพราะคนข้างบ้านและเพื่อนวัยเดียวกันแต่งงานหมดแล้ว เราก็ต้องคุยกันต่อไป ปรับความเข้าใจกันต่อไปว่ามันไม่ใช่เป้าหมายหลักในการดำเนินชีวิตของเรา ช่วงเวลาในชีวิตของทุกคนไม่เหมือนกัน เราไม่สามารถเอาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มต้นความสัมพันธ์ของคนอื่นมาเทียบกับช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับเราได้ การตอบคำถามตัวเองให้ได้ อาจจะช่วยให้เราได้พบคำตอบที่จำเป็นก่อนการตัดสินใจใด ๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันการทำร้ายจิตใจตัวเอง การทำร้ายจิตใจคนที่เรารักและรักเราได้ในอนาคต

ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ

ว่ากันว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราพบปะเพื่อนฝูง เราอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่ม เป็นครอบครัว เราอยู่รวมกันในสังคม ระยะเวลาผ่านไปเกิดการพัฒนาของความสัมพันธ์โดยมีรูปแบบมากมาย โดยเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการ การอยู่รวมกันของมนุษย์ การได้เป็นที่รัก การได้เป็นที่ยอมรับของคนที่เรามีความสัมพันธ์อันดีด้วย แต่การมีความสัมพันธ์เหล่านั้นดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราจริงไหม

  1. ไม่มีความเชื่อใจซึ่งกันและกัน ในเรื่องของความสัมพันธ์ ความเชื่อใจเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะสามารถทำให้ความสัมพันธ์นั้นไปรอดได้ หากต่างฝ่ายต่างคอยระแวงกันและกันตลอดเวลา ไม่อาจเรียกได้ว่าความสัมพันธ์ที่มีอยู่นำความสุขใจมาให้
  2. มุกตลกที่ไม่ได้มีไว้เพื่อสร้างความสนุกสนาน จริงอยู่คนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบเป็นมนุษย์ต้นแบบที่ไร้ที่ติ เราย่อมรู้ดีว่าข้อดีของตัวเองคืออะไร ข้อเสียของตัวเองคืออะไร เรามีรูปร่างหน้าตาแบบไหน แต่การมีใครอีกคนอยู่เคียงข้าง คอยเอารูปร่างหน้าตาเรามาล้อเลียนเพื่อเรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่น หรือเอาข้อเสียของเรามาพูดซ้ำ ๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เป็นผลดีต่อสุขภาพจิตของเรา ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่ทำให้ความภูมิใจในตัวเอง ( Self-esteem) ของอีกฝ่ายต่ำลง
  3. อีกฝ่ายเป็นผู้รับอย่างเดียว ไม่เคยทำอะไรเพื่อเราเลย ความสัมพันธ์อันดีก่อเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้แก่กัน แบ่งปันความสุขให้แก่กัน อยู่เคียงข้างซึ่งกันและกัน หากเราเป็นผู้ให้อยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่ได้รับอะไรกลับคืนเป็นความสัมพันธ์ที่เหมือนเรามีสัตว์เลี้ยงมากกว่าการมีคนรักคือ เราให้เค้าทุกอย่าง เราช่วยเหลือ ไปรับไปส่ง แต่เค้าไม่สามารถและไม่อยากทำแบบเดียวกัน การที่เราพยายามบอกเขาว่าเราต้องการอะไรในความสัมพันธ์เป็นเรื่องไม่มีประโยชน์เพราะอีกฝ่ายยังไงก็ไม่สนใจอยู่ดี
  4. มีความรุนแรงเกิดขึ้น ทั้งในเรื่องของร่างกายและจิตใจ โดยพื้นฐานของมนุษย์ที่สุขภาพจิตดีและมีสติอยู่กับตัวเองครบถ้วน เราจะไม่ทำร้ายตัวเอง เราจะไม่ทำร้ายคนอื่น และสิ่งมีชีวิตอื่น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายและจิตใจ หากในความสัมพันธ์เกิดการทำร้ายกันเกิดขึ้น เช่น แฟนของเราชอบพูดจาดูถูก ถากถางเราตลอดเวลา ชอบใส่ร้ายและว่าร้ายเรา เราคงต้องกลับมานั่งถามตัวเองแล้วว่า เราอยากจะมีมนุษย์คนนึงที่คอยตามเราไปทุกที่เพื่อพูดจาให้เราเจ็บช้ำน้ำใจตลอดเวลาไปทำไม คำถามไม่ใช่ว่า เขาทำร้ายเราทำไม คำถามคือ ทำไมเรายอมให้เขาทำร้ายเราซ้ำ ๆ เจ็บแต่ไม่จำ
  5. ใครคือคนผิด ทุกครั้งที่เกิดเรื่องอะไรขึ้นในความสัมพันธ์ต่างฝ่ายต่างพยายามหาคนผิด ต่างโยนความผิดกันไปมา การโต้เถียงดูเหมือนว่าจะไม่มีวันจบสิ้น หาทางออกให้กับปัญหาไม่เจอ เพราะต่างฝ่ายต่างเชื่อว่าความผิดทั้งหมดเป็นของอีกคน ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบคู่รัก ความสัมพันธ์แบบเพื่อน ลูกน้องกับเจ้านาย การหาคนผิดในเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อต่อว่าอีกฝ่ายให้หนำใจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด หากอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้นับวันยิ่งเหนื่อยล้าใจ

ทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมาหากคนรักหรือคนที่มีความสัมพันธ์ด้วยเป็นมันคือสิ่งที่ไม่น่ารัก และมีเหตุผลร้อยล้านเหตุผลที่เรายังอยากอยู่กับคนรัก เพื่อน หรือคนในครอบครัวคนนี้อยู่ เราต้องหันหน้าคุยกันว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากไม่สามารถหาทางออกร่วมกันได้อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยให้เราสามารถผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน

การป้องกันตัวเอง ให้ห่างไกลจากการเป็นโรคซึมเศร้า

การเป็นโรคซึมเศร้าเหมือนการเป็นหวัด หากร่างกายหรือจิตใจไม่แข็งแรงโรคภัยย่อมมาเยืยนแน่นอน กรมสุขภาพจิตออกมาเปิดเผยว่าจำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกปี อัตราการฆ่าตัวตายก็พุ่งสูงขึ้น และเริ่มเกิดคำถามตามมาว่าเราสามารถป้องกันตัวเองจากการเป็นโรคนี้ได้หรือไม่ เหมือนกันการควบคุมปริมาณน้ำตาลที่บริโภคเข้าไปเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นโรคเบาหวาน โดยที่เราเองไม่สามารถป้องกันตัวเองจากโรคนี้ได้ 100 เปอร์เซ็น แต่เราสามารถเปลี่ยนวิธีรับมือกับความเครียดของตัวเองหรือป้องกันไม่ให้โรคซึมเศร้าที่เป็นอยู่อาการหนักขึ้นได้

  1. หาวิธีการจัดการความเครียดที่เหมาะกับตัวเอง ความเครียดหากไม่ได้รับการจัดการที่เหมาะสมอาจจะทำให้เกิดโรคซึมเศร้า และโรคอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น โรคความดันโลหิตสูง นอนไม่หลับ โรคหัวใจ เป็นต้น ทักษะการจัดการความเครียดเป็นทักษะที่จำเป็นและสามารถพัฒนาได้
  2. สร้าง Self esteem หรือความภูมิใจในตัวเองหรือการเคารพตัวเองให้เพิ่มมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเปิดเผยว่า คนที่มีการเคารพตัวเองต่ำมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคทางจิตเวชมากกว่าคนที่มีการเคารพในตัวเองสูง หากคุณรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ตัวเองไม่เป็นที่รัก ตัวเองไม่มีศักยภาพมากพอที่จะกระทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ หรือรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไปเท่าไหร่ก็ไม่มีวันดีพอ นี่คือสัญญาณว่าคุณมีการเคารพตัวเองต่ำ ซึ่งสามารถขอความช่วยเหลือและทางออกจากนักจิตบำบัด นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ได้ แม้ว่าแนวคิดดังกล่าวอาจจะไม่ได้นำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าเสมอไป แต่ความคิดเหล่านั้นไม่อาจทำให้เจ้าของความคิดมีความสุขกับตัวเองมากนัก
  3. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนส่งผลกระทบโดยตรงกับสารสื่อประสาทในสมอง การทำงานของอวัยวะในร่างกาย การฟื้นตัวของร่างกาย หากนอนไม่พอเป็นระยะเวลาหนึ่งร่างกายจะเกิดความเครียดสะสม เกิดความตึงเครียดในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นที่ก่อให้เกิดโรคซึมเศร้าหรือไบโพล่าได้ และหากเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ การพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้อาการของโรคหนักขึ้น โดยการนอนไม่พอก็สามารถก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย หากไม่สามารถนอนหลับให้สนิทได้ด้วยตัวเองควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขหรือเอ็นโดฟินออกมา เนื่องจากอีกสาเหตุหนึ่งในการเป็นโรคซึมเศร้าคือสารสื่อประสาทคือสารเคมีในสมองเสียสมดุล การออกกำลังกายก็เป็นอีกวิธีง่าย ๆ ในการช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลดังกล่าวให้เป็นปกติได้ง่ายขึ้น
  5. สื่อที่เรารับเข้ามาในแต่ละวัน จะเห็นว่าสื่อหลาย ๆ สำนักพยายามเสนอข่าวโดยใช้อารมณ์ของผู้เสพสื่อเป็นหลัก ถ้อยคำที่ใช้ในการนำเสนอ เป็นถ้อยคำที่พยายามจะดึงอารมณ์ของคนรับสื่อออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อให้สุขที่สุด เศร้าที่สุด สลดใจที่สุด และสะเทือนใจที่สุด หากเราเสพสื่ออย่างไม่รู้เท่าทัน สื่อที่เราเสพจะส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกเราเกิดเป็นอารมณ์ตกค้าง เกิดความเครียดโดยไม่จำเป็น ในที่นี้รวมถึงละครที่ดู หนังสือที่อ่าน และเพลงที่ฟังด้วย

การป้องกันตัวเองจากโรคซึมเศร้าเป็นการป้องกันขั้นพื้นฐานแม้ว่าจะทำตามขั้นตอนทุกอย่างก็ไม่ได้การันตีว่าเราจะไม่เป็นโรคนี้อีกเลยตลอดชีวิต เนื่องจากในหลาย ๆ ครั้งการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเกิดจากสาเหตุที่ไม่สามารถป้องกันล่วงหน้าได้เช่น การเสียบุคคลที่รักโดยไม่ทันตั้งตัว หรือการเพิ่งผ่านเหตุการที่กระทบกระเทือนจริงใจอย่างร้ายแรง เช่น การถูกข่มขืน หากแต่เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นและเราไม่สามารถผ่านพ้นมันไปได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจะสามารถทำให้เราก้าวผ่านได้ง่ายขึ้น

“เขื่อนแตก” มหันตภัยร้ายที่ไม่อาจมองข้ามได้ สาเหตุที่ทำให้เขื่อนแตกมีอะไรบ้าง

ในช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาวนั้น ทำให้มีฝนตกชุกและมีน้ำป่าไหลหลากเป็นจำนวนมาก ซึ่งในประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านทรัพยากรน้ำ แต่ก็มีในบางพื้นที่ที่เป็นพื้นที่แห้งแล้งและต้องการน้ำเพื่อนำไปใช้ทางด้านเกษตรกรรมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทำให้มีเขื่อนต่าง ๆ เกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม หรือมีพื้นที่ที่แห้งแล้งมากเกินไป และนอกจากประเทศไทยแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาวก็มีเขื่อนไว้ใช้ด้วยเช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้ในช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2561 ที่ผ่านมา มีข่าวจากประเทศสาธารณะรัฐประชาชนลาวรายงานว่า เขื่อนในประเทศลาวแตกทำให้มีน้ำไหลท่วมทะลักในหมู่บ้านของชาวบ้านหลายหลังคาเรือน และเกิดเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่มีผู้เสียหายและเสียชีวิตจำนวนหลายคน ซึ่งจากสถานการณ์ข่าวนี้ทำให้มีหลายประเทศยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือและให้กำลังใจกันอย่างล้นหลาม ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เขื่อนแตกนั้นมีหลากหลายสาเหตุซึ่งแบ่งตามสาเหตุหลักได้ดังต่อไปนี้คือ

  1. น้ำป่าไหลหลาก ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาหลักที่ไม่ว่าในประเทศใดก็ตามย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะฤดูกาลของโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากโลกมีภาวะที่ร้อนขึ้น ทำให้อุณหภูมิของโลกนั้นไม่คงที่ ซึ่งทำให้เกิดภัยพิบัติได้บ่อยครั้งขึ้น
  2. ฝนตกทุกวันจนน้ำขึ้นสูงเกิดเป็นแรงดัน และเหตุผลนี้คือเหตุผลสำคัญของการเพิ่มระดับปริมาณน้ำฝนในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนแต่ละเขื่อน ซึ่งมีไม่เท่ากัน หากอีกฝั่งหนึ่งของเขื่อนนั้นมีน้ำที่มากกว่าอีกฝั่งค่อนข้างมากแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าทำให้เกิดแรงดันของฝายกั้นน้ำได้ และอาจเป็นสาเหตุให้เขื่อนกั้นน้ำแตกและทะลักออกมาอีกฝั่งได้
  3. แผ่นดินไหว ซึ่งสาเหตุนี้ไม่ใช่ว่าจะพบกันได้บ่อย เนื่องจากแผ่นดินไหวนั้นเกิดได้ในบางพื้นที่เท่านั้น จะเกิดในพื้นที่ที่เป็นรอยเชื่อมต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลก หรือเกิดขึ้นในบริเวณที่มีภูเขาไฟ แต่ในบางครั้งแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวนั้นสามารถขยายอาณาเขตไปในวงกว้าง ทำให้เขื่อนที่มีการก่อสร้างที่ไม่แข็งแรงหรือเขื่อนเก่า สามารถได้รับผลกระทบนั้นและทรุดตัวลงจนทำให้เขื่อนแตกได้เช่นกัน
  4. เขื่อนเก่าอยู่ในสภาพทรุดโทรมขาดการบำรุงรักษา เขื่อนบางเขื่อนนั้นไม่ได้อยู่ในความดูแลของรัฐบาล อาจจะเป็นเขื่อนที่มีขนาดเล็กของชาวบ้านทั่วไป ซึ่งทำให้ขาดการดูแลที่ทั่วถึง ย่อมทำให้เกิดความเสื่อมสภาพและเป็นสาเหตุที่ทำให้เขื่อนแตกได้ในที่สุด

ซึ่งสาเหตุดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้เขื่อนแตก และน้ำไหลทะลักมาท่วมบ้านเรือนและแหล่งทำมาหากินทางด้านการเกษตรกรรมบ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าเขื่อนจะมีข้อดีอย่างมหาศาล แต่ก็มีความน่ากลัวอยู่บ้าง ทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณริมเขื่อนนั้นควรช่วยกันสอดส่องดูแลเป็นหูเป็นตาให้กับทางรัฐบาล ซึ่งหากเห็นความไม่ชอบมาพากลหรือสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเขื่อนแล้วล่ะก็ ให้รีบแจ้งทางศูนย์หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงานซ่อมแซมหรือดูแลเขื่อนจะดีที่สุด

“การดูดวง” งมงายหรือเพื่อความสบายใจ ทำไมคนไทยถึงชอบดูดวง

ความเชื่อถือว่าเป็นเรื่องคู่กันมายาวนานกับคนไทย เนื่องจากหากคนเราขาดความเชื่อแล้วนั้นจะทำให้หมดศรัทธาในทุกสิ่ง การดูดวงถือว่าเป็นสิ่งที่คนไทยนิยมดูกันอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งการดูดวงมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการดูลายมือ การดูไพ่ยิปซี การดูผ่านตำราดวงชะตาวันเกิด หรือดูผ่านจิตสัมผัส ซึ่งในบางคนงานอาจมองว่าเป็นเรื่องที่งมงาย แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าในชีวิตของคนที่เกิดมานั้นจะต้องผ่านการดูดวงมาแล้วทั้งสิ้นอย่างน้อยที่สุดคือหนึ่งครั้ง ยิ่งในช่วงสิ้นปีแล้วนั้น มีนักโหราศาสตร์และอาจารย์หมอดูทำนายชะตามากมายเข้ามาคาดการณ์ดวงของประเทศ และดูดวงตามชะตาราศีเกิดของคนทั่วไป ในปี 2562 ที่กำลังจะมาถึงนี้กันอย่างมากมายหลายตำราโหราศาสตร์  ซึ่งสำหรับบางคนนั้นเป็นคนยุคใหม่และไม่สนใจเรื่องประเภทนี้ แต่ก็เลือกที่จะดูเพื่อความสบายใจของตนเองและครอบครัว ซึ่งคนที่ชอบดูดวงนั้นมีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไปดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

  1. ต้องการรู้อนาคต ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ดูดวงนั้นต้องการที่จะรู้อนาคตของตนเองว่าเป็นเช่นไร จะเดินทางไปในทิศทางไหน และจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนเองตั้งใจและหวังไว้หรือไม่ ซึ่งในบางครั้งหากเจอหมอดูที่แม่น ๆ ก็จะทำนายทายทักถูกต้อง
  2. ต้องการเสริมบารมี สำหรับบางคนนั้นที่เป็นเจ้าใหญ่นายโต จำเป็นที่ต้องอาศัยดวงหรือโหงวเฮ้งต่าง ๆ เพื่อให้หน้าที่การงานประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ซึ่งในบางครั้งอาจมีดวงของปีชงทำให้ต้องมีการแก้ชะตาราศี หรือแก้เคล็ดเกิดขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามที่ถูกที่ควร เพื่อความสบายใจของผู้ดูดวงนั้นเป็นหลัก
  3. ต้องการพ้นจากทุกข์ที่เป็นอยู่ สำหรับบางคนนั้นต้องการดูดวงเนื่องจากจิตใจเป็นทุกข์หม่นหมอง จึงหาวิธีที่จะทำให้ตนเองสบายใจขึ้นและคลายทุกข์โดยการพึ่งพาทางไสยศาสตร์ หรือดูเพื่อต้องการหาต้นตอและสาเหตุของการเกิดปัญหาเหล่านั้น และส่วนมากสิ่งที่หมอดูแนะนำให้ทำคือไปทำบุญปล่อยสัตว์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นับเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น
  4. ต้องการมีที่พึ่งทางใจ เนื่องจากคนไทยนั้นมีทางเชื่อเรื่องศาสนาค่อนข้างมากและยามเกิดทุกข์หรือสุขนั้น จะนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับแรก ๆ ทำให้การดูดวงเป็นที่นิยมของคนที่ต้องการมีที่พึ่งทางใจ เพื่อให้รู้ว่าตนเองจะต้องทำอะไรและจะต้องดำเนินชีวิตไปในทิศทางใด

ในปี 2562 ที่กำลังมาถึงนี้ มีหมอดูทำนายทายทักดวงชะตาเข้ามาฟันธงมากมาย ทั้งนี้ควรเลือกพิจารณาและรับเอาข้อดีของดวงนั้น ๆ มาใช้ หากมีการกล่าวถึงดวงชะตาในแง่ดี และหากดวงชะตาในราศีของเรานั้นไม่ค่อยดีนัก ให้เราถือว่ารับเอามาเพื่อให้มีการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและไม่ประมาท เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการดูดวงด้วยความเชื่อแบบไม่งมงาย แต่มีเหตุผลที่มีด้านดีอยู่ เพื่อให้นำไปปรับใช้ในการใช้ชีวิต

อากาศหนาวในเมืองไทย ทำให้คนหลั่งไหลไปเที่ยวที่ไหนบ้าง

เมื่อเริ่มเข้าเดือนธันวาคมของทุกปีนั้น จะเป็นช่วงฤดูหนาวที่ผู้คนส่วนมากมองหาที่เที่ยวเพื่อจะไปพักผ่อนในบรรยากาศที่เย็นสบาย และเต็มไปด้วยธรรมชาติรายล้อม และเมื่ออากาศหนาวมาเยือนนั้นสถานที่ยอดฮิตในประเทศไทยก็จะเต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่น จนทำให้อากาศที่หนาวเย็นกลายเป็นตลบอบอวลไปด้วยความอบอุ่นของผู้คน แน่นอนว่าสถานที่ที่หนาวเย็นของประเทศไทยนั้นคงหนีไม่พ้นในเขตทางภาคเหนือของประเทศ ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หลั่งไหลเข้ามาเที่ยวชมธรรมชาติที่งดงาม รวมถึงชมน้ำค้างและไอทะเลหมอกยามเช้าบนดอยต่าง ๆ มากมาย ซึ่งสถานที่เที่ยวในประเทศไทยที่เหมาะจะไปในหน้าหนาวมีดังต่อไปนี้คือ

  1. ยอดดอย ซึ่งบนยอดดอยนี้ถือว่าเป็นสถานที่จุดสูงสุดบนภูเขา ในประเทศไทยมีทั้งทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีภูเขาที่มีลักษณะเป็นดอยยื่นออกมา เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ผู้คนขึ้นไปเพื่อชมอากาศยามเช้าและทะเลหมอก รวมทั้งพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นรุ่งระวีแสงดวงอาทิตย์แรกของยามเช้า ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นที่สวยงามมากเลยทีเดียว
  2. หมู่บ้านชาวเขา ซึ่งหมู่บ้านชาวเขาเป็นหมู่บ้านพื้นบ้านที่มีการแต่งตัวการในแบบชนพื้นเมือง ทำให้ผู้ที่สนใจจะไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างจังหวัดแบบชนบทนั้นได้รับวัฒนธรรม และเรียนรู้ความเป็นพื้นเมืองอย่างถ่องแท้ของชาวดอย ซึ่งตามหมู่บ้านชาวเขาเหล่านี้มักจะมีเสื้อผ้าไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ใส่ถ่ายรูปกันเพื่อเป็นที่ระลึกอีกด้วย
  3. น้ำตก นับว่าเป็นอีกสถานที่เที่ยวหนึ่งที่ผู้คนนิยมไปเล่นน้ำ ถึงแม้จะมีอากาศที่หนาวเย็น แต่ก็มีคนส่วนมากที่นิยมไปเพื่อถ่ายรูปเอาบรรยากาศ เนื่องจากในหน้าหนาวนั้นน้ำตกจะมีน้ำที่ไม่เยอะมาก และหมดปัญหาเรื่องน้ำป่าไหลหลาก จนทำให้ผู้คนนิยมไปเก็บภาพธรรมชาติอันสวยงามของธรรมชาติ และก้อนหินเล็กหินน้อยได้เป็นอย่างดี
  4. ไร่ทางภาคเหนือ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าทางภาคเหนือนั้นเป็นแหล่งของไร่ปลูกพืชพันธุ์นานาชนิดไว้ค่อนข้างมาก เนื่องจากต้นไม้บางชนิดสามารถเติบโตได้ในอากาศที่หนาวเย็น ทำให้ไร่สวนในภาคเหนือนั้นมีอาณาเขตที่กว้างขวางและเหมาะกับการไปเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดที่สบาย ๆ อากาศเย็น ๆ
  5. สวนดอกไม้ทางภาคเหนือ ซึ่งดอกไม้ทางภาคเหนือนั้นจะมีดอกที่บานใหญ่และสวยงาม รวมทั้งมีหลากหลายชนิดที่ทางภาคอื่น ๆ นั้นหาดูยาก เพราะสภาพอากาศทางภาคเหนือเหมาะกับการปลูกดอกไม้ให้ออกดอกบานสะพรั่งสวยงาม ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้าไปเที่ยวชมสวนดอกไม้อย่างคับคั่ง รวมทั้งทางภาคเหนือจะมีการจัดงานกิจกรรมสวนดอกไม้ขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้ผู้คนสนใจไปเที่ยวชมสวนดอกไม้เหล่านี้กันมากขึ้นในแต่ละปี

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว หน้าหนาวปีนี้การไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินตัว และสามารถเลือกไปที่ไหนก็ได้ที่ผู้เที่ยวนั้นชอบและเดินทางสะดวก ซึ่งปัจจุบันนี้มีรถรับส่งประจำทางเกิดขึ้นมากมาย เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวจุดหมายปลายทางได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย

ข่าวลวงในโลกออนไลน์ มีผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างไร

ในปัจจุบันนี้เมื่อเทคโนโลยีมีบทบาทมากขึ้น ทำให้มีข่าวเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งข่าวจากสำนักข่าวทั่วไปและข่าวที่เผยแพร่ตามเพจดังต่าง ๆ ได้เข้ามาเสนอและให้ข้อมูลจรแชร์กันสนั่นในโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นกระแสสังคมได้ในที่สุด เช่นในวันที่ 3 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมานั้นได้มีข่าวลวงระบาดเกี่ยวกับผู้ว่าราชการท่านหนึ่งทางภาคเหนือได้ถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งข้อความดังกล่าวนั้นได้ถูกเคยแพร่และถูกโจทย์จันไปมาก จนทำให้ผู้ว่าท่านนั้นต้องออกมาประกาศว่าข่าวนี้เป็นข่าวลวงและไม่เป็นความจริง ซึ่งท่านยังได้มีชีวิตอยู่และดำรงตำแหน่งทำหน้าที่ได้ตามปกติ ซึ่งข่าวที่นำมาส่งต่อกันนั้นแน่นอนว่าจะมีทั้งข่าวจริงและข่าวลวง แต่ทั้งนี้ข่าวลวงก็มีผลกระทบต่อสังคม และแน่นอนต้องกระทบต่อบุคคลที่อยู่ในข่าวนั้นด้วย ดังนั้นผลกระทบต่อสังคมจากข่าวลวงนั้นมีอะไรบ้างเราไปดูกันเลย

  1. มีผลต่อการนำไปบอกต่อหรือแชร์เพื่อกระจายข้อมูลไปทั่ว ซึ่งการนำข้อมูลไปบอกต่อนั้นเสมือนการพูดไปปากต่อปาก ซึ่งในปัจจุบันนี้โซเชียลไปไวมากปานติดจรวด เพียงแค่โพสต์ได้ไม่ถึง 10 นาที ข่าวนั้นหากเป็นข่าวที่ดังพอสมควรแล้วล่ะก็ จะไปอยู่ในหน้าหนึ่งของเพจดังได้เลยทีเดียว จนทำให้ผู้คนที่ติดตามข่าวอยู่นั้นได้รู้เห็นและนำไปแชร์ต่อกันจนกลายเป็นข่าวดังระดับประเทศได้
  2. คนผิดกลายเป็นคนถูกได้โดยใช้กระแสสังคม ซึ่งข่าวลวงสมัยนี้มีมากมายจนทำให้ผู้เสพสื่อนั้นสับสนว่าสิ่งใดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ ดังจะเห็นจากข่าวดาราทั่วไปที่มีการซุบซิบกันในสังคมออนไลน์ ซึ่งในบางครั้งคนผิดจริง ๆ เพียงแค่มีดราม่าเกิดขึ้น ก็จะทำให้กลายเป็นคนน่าสงสารได้ภายในพริบตา จนทำให้คนที่ถูกต้องจริง ๆ แล้วนั้นกลายเป็นคนที่ถูกสังคมประนามได้เลย
  3. นำข้อมูลที่ได้รับไปใช้แบบผิด ๆ ซึ่งข่าวลวงในบางครั้งนั้นเป็นข่าวที่มาพร้อมกับความรู้เช่น วิธีการลดความอ้วนนั้น ซึ่งในบางข่าวลวงจะใช้ยาลดความอ้วนที่เกินขนาด มาอ้างสรรพคุณกล่าวอ้างเกินจริง ทำให้ผู้คนที่เสพสื่อด้วยความไม่ระมัดระวังเกิดการหลงเชื่อ และนำไปใช้ปฏิบัติตามทำให้มีผลข้างเคียงเนื่องจากความรู้แบบผิด ๆ นี้เอง

และนี่คือผลกระทบของสังคมที่ได้รับข่าวลวง หรือข่าวที่ให้ข้อมูลมาแบบไม่ถูกต้อง ดังนั้นผู้ที่เสพสื่อหรือข่าวทั่วไปตามหน้าหนังสือพิมพ์ออนไลน์หรือจากปากต่อปากของบุคคลที่เรารู้จักนั้น ควรรับฟังอย่างมีสติและมีวิจารณญาณให้รอบคอบก่อนนำไปบอกต่อหรือนำไปใช้ปฏิบัติตาม ควรหาข้อมูลและศึกษาถึงความเป็นจริงให้แน่ใจเสียก่อน เพราะหากเกิดการผิดพลาดไปแล้วอาจทำให้เสียหายได้ในวงกว้าง ทั้งต่อตนเอง หรือมากไปกว่านั้นอาจเกิดผลกระทบต่อสังคมเลยก็เป็นได้

อินเตอร์เน็ตให้เราได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ในยุคแห่งการสื่อสารที่ไร้พรมแดน

ในโลกยุคดิจิตอลนั้นปฎิเสธไม่ได้ว่าอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการใช้ชีวิต เพราะในทุกวันนั้นคนยุคใหม่จะใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อเป็นการสื่อสารกับบุคคลภายนอกมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญบางคนนั้นเพียงแค่มีอินเตอร์เน็ต พวกเขาสามารถอยู่ได้แต่ภายในบ้านหรือสถานที่ทำงาน และติดต่อไปยังผู้คนหรือองค์กรใหญ่ทั่วโลกได้เพียงแค่เสี้ยววินาที ซึ่งในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมานั้น กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้เปิดเผยว่าประเทศไทยมีไฟเขียวให้ต่างชาติเข้ามาทำการตลาดดาวเทียมเสรีในประเทศไทย ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก และประโยชน์ของการติดต่อสื่อสารผ่านทางโลกออนไลน์อย่างอินเตอร์เน็ตนั้นมีมากมายดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

  1. ติดต่อสื่อสารกับใครก็ได้ในโลกที่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตเชื่อมต่อถึงกัน ซึ่งไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนทั่วทุกมุมโลกก็สามารถติดต่อกับใครก็ได้ที่คุณต้องการ หากคุณมีข้อมูลการติดต่อของเขาเหล่านั้นที่อยู่บนโลกอินเตอร์เน็ตด้วยกัน อาจเป็นการติดต่อผ่านทางแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่คนสมัยนี้นิยมใช้สื่อสารและติดต่อกันมากกว่าการใช้โทรศัพท์ไปแล้ว หรือผ่านการวิดีโอคอลหาบุคคลที่คุณต้องการพูดคุยด้วยก็เป็นไปได้ ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจมากที่เทคโนโลยีสมัยนี้ได้ก้าวหน้าไปอย่างมาก จนทำให้คนที่อยู่คนละมุมโลกกันนั้นสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกันได้ อีกทั้งยังเห็นหน้าค่าตากันได้เพียงแค่กดคลิกที่ปลายนิ้ว
  2. ค้นหาข้อมูลทั่วไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าการที่โลกได้เปลี่ยนไปอย่างไม่อาจหยุดยั้งนั้น การหาข้อมูลในสมัยนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน ซึ่งเนื่องจากในสมัยก่อนหากเราต้องการรู้เรื่องอะไรสักหนึ่งอย่างจำเป็นที่จะต้องไปห้องสมุดเพื่อหาหนังสือมาอ่านสักเล่ม หรือหากห้องสมุดที่ไปนั้นยังมีข้อมูลไม่เพียงพอก็ต้องดั้นด้นไปหาที่ห้องสมุดอื่น จนทำให้ต้องเสียเวลาในการเดินทางและการค้นหาที่ยาวนาน แต่ในปัจจุบันนี้มีแอปพลิเคชันและเว็บไซต์มากมายที่คอยช่วยเหลือในการค้นหาข้อมูลทั่วไป เพียงแค่กดคลิกไปที่คำถามที่ต้องการก็จะปรากฏทั้งเนื้อหาข้อมูล รูปภาพ บางเว็บไซต์อาจมีคลิปวิดีโอให้ด้วย ซึ่งนับว่าเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งข้อมูลที่เราต้องการหานั้นไม่ได้มีเพียงอยู่แค่ภายในประเทศไทยเท่านั้น แต่เราสามารถรู้ข้อมูลรอบโลกได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
  3. ค้นหารูปภาพและภาพเคลื่อนไหวได้ ซึ่งนอกจากข้อมูลที่ต้องการจะหาแล้วนั้นอินเตอร์เน็ตยังสามารถให้เราค้นหารูปภาพและภาพวิดีโอได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาพอะไรเพียงแค่พิมพ์เข้าไปก็สามารถนำรูปภาพนั้นไปใช้ได้ แต่ทั้งนี้ต้องดูด้วยว่าติดเป็นลิขสิทธิ์ของผู้ถ่ายรูปอยู่ไหม ซึ่งควรให้เครดิตภาพของผู้ถ่ายไว้ด้วยหากต้องการนำไปใช้
  4. ให้ความรู้สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเรื่องต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันนั้นอินเตอร์เน็ตสามารถกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ที่สำคัญได้แม้กระทั่งตามหาวิทยาลัยชั้นนำต่าง ๆ ของโลก ยังได้มีการเปิดสอนให้มีการเรียนการสอนแบบออนไลน์มากขึ้น เพื่อเป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์

และนี่เป็นเพียงประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการมีอินเตอร์เน็ตในยุคแห่งการสื่อสารในปัจจุบันเท่านั้น ซึ่งต่อไปในอนาคตอาจมีลูกเล่นอะไรใหม่ ๆ มาให้เราได้ลองและนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย ซึ่งนับว่าโลกของเราได้มีการพัฒนาไปสู่จุดที่การสื่อสารไร้พรมแดน และไร้ขีดจำกัดแล้วอย่างจริงจัง

ความเหลื่อมล้ำทางด้านการเงินของคนไทย ซึ่งมีคนจนมากกว่าคนรวยหลายเท่าตัว    

ในเมืองไทยนั้นมีคนที่ประสบปัญหาความยากจนค่อนข้างมาก ดังที่มีข่าวออกมาว่าประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของผู้ที่มีคนจนและคนรวยเหลื่อมล้ำกันมากที่สุดในโลก ที่เป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่ในสังคมออนไลน์ทุกวันนี้ ซึ่งในวันที่ 8, 9 และ 10 ธันวาคม 2561 นี้ทางรัฐบาลได้มีการสนับสนุนเงินให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยจำนวน 500 บาทผ่านทางบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับผู้ที่ได้ลงทะเบียนคนจนและได้รับสิทธิ์ดังกล่าว ได้แบ่งการจ่ายเงินตามหมายเลขขึ้นต้นในบัตรประชาชน จากข่าวนี้ทางรัฐบาลได้มีการหยิบยกประเด็นนี้นำไปพิจารณาเพื่อที่จะลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินของสังคมให้น้อยลง เพื่อให้คนจนและคนรวยได้มีปริมาณเท่า ๆ กัน และผลักดันให้ผู้ที่มีรายได้น้อยนั้นมีงานรองรับ และสามารถหาเลี้ยงชีพและมีรายได้เพิ่มขึ้น

วิธีลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการเงินนั้นมีดังต่อไปนี้คือ

  1. ให้การศึกษากับผู้ที่ด้อยโอกาส โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญ อย่างเช่นบนดอยหรือหลังเขา ที่จะมีเด็กเล็กในหมู่บ้านที่ไม่ได้เรียนหนังสืออีกมากมาย โดยการจัดตั้งโรงเรียนประจำหมู่บ้าน และปฏิรูปการศึกษาภายในประเทศให้มีมาตรฐานเดียวกัน และกำหนดระดับชั้นวุฒิการศึกษาขั้นต่ำที่ต้องเรียนให้เข้มงวด
  2. ให้ความรู้ทางด้านการลงทุน การออมเงินของชาวบ้านเมื่อเกษียณและเก็บเงินไว้ใช้ให้เป็นสัดส่วน ยังมีชาวบ้านอีกมากมายที่ยังขาดความรู้ในเรื่องการบริหารจัดการเงินและสินทรัพย์ส่วนตัว สังเกตุได้จากเมื่อเวลาแก่ตัวลงไปแล้วจะไม่มีเงินเหลือเก็บไว้ใช้ในยามชรา ทำให้เป็นวัฏจักรที่ลูกหลานต้องเลี้ยงดู ไม่ได้นำเงินที่หามาไปทำธุรกิจให้เกิดผลประโยชน์งอกเงย และเกิดขึ้นหมุนเวียนกันไปเรื่อย ๆ ยันรุ่นลูกรุ่นหลานแบบนี้ไม่รู้จบ
  3. พัฒนาระบบเกษตรกรรมภายในประเทศด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ให้เข้าถึงในพื้นที่เกษตรกรรมถิ่นทุรกันดารและห่างไกลจากเทคโนโลยีทางการเกษตร ให้สามารถมีเครื่องมือไว้ใช้ในการทำงานได้สะดวก ซึ่งอาจเป็นเครื่องมือไว้ใช้ส่วนรวมสำหรับหมู่บ้าน หรือนำเทคโนโลยีและความรู้ต่าง ๆ ให้กับผู้นำชาวบ้านไปเผยแพร่อีกทีหนึ่ง
  4. กระจายรายได้จากสังคมเมืองสู่สังคมชนบท ให้ได้รับรายได้ทั่วถึงแม้ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งควรส่งเสริมให้ชาวบ้านมีอาชีพเสริม อาจเป็นงานฝีมือเฉพาะท้องถิ่นหรือเป็นสูตรอาหารดั้งเดิม ควรส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้ฝีมือและความรู้ความสามารถรวมทั้งทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการก่อตั้งเป็นชมรมเล็ก ๆ ภายในหมู่บ้าน หรือจัดตั้งองค์กรสำหรับพัฒนาฝีมือแรงงานของชาวบ้าน และจัดตั้งให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ควรอนุรักษ์ไว้ประจำท้องถิ่นนั่นเอง

จากที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงขั้นตอนการลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการเงินของสังคมไทยเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีวิธีอีกมากมายที่ช่วยให้คนไทยที่ยากจนมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการทำงานประจำ รวมทั้งการทำงานพิเศษอื่นนอกเหนือจากรายได้หลักเพื่อเป็นหารายได้เลี้ยงดูครอบครัวอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งนอกจากนี้การแบ่งเวลานั้นถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งของการพัฒนาคนเพื่อนำไปต่อยอดพัฒนาประเทศอีกทีหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่มีเวลามาก สามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ได้

แท็กซี่ไทยในปัจจุบัน กับการใช้บริการคนไทย และข้ออ้างไม่รับผู้โดยสาร

การเดินทางในกรุงเทพมหานครทุกวันนี้นั้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายดาย เนื่องจากมีการคมนาคมขนส่งที่สะดวกและรวดเร็วต่อผู้ที่สัญจรไปมาระหว่างเมือง โดยมีรถรับส่งสาธารณะอย่างรถประจำทาง รถไฟฟ้า รวมถึงรถไฟใต้ดินไว้คอยให้บริการกันแทบทุกสิ้นทาง และนอกจากที่กล่าวมานี้ยังมีรถแท็กซี่ที่คอยให้บริการกับคนที่ไม่ชอบเดินทางด้วยรถโดยสารที่มีคนเบียดเสียดแน่นหนา และสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบาย อีกทั้งยังนั่งเพียงต่อเดียวถึงจุดหมายเลยโดยไม่ต้องต่อรถประจำทางหลายสายให้ปวดหัว แต่ในไม่ถึงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้นมีผู้ใช้ยูทูปรายหนึ่งได้ลงคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการเรียกแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ให้ไปเที่ยวชมในเมือง โดยแท็กซี่คันนั้นได้คิดราคาเกินจริงและไม่กดมิเตอร์ ทำให้เกิดเป็นข้อถกเถียงกันอย่างเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกโซเชียล  ซึ่งส่วนใหญ่แท็กซี่นั้นจะเลือกรับเฉพาะชาวต่างชาติ โดยมีเหตุผลในการอ้างถึงเรื่องต่าง ๆ เมื่อคนไทยเรียกรถแท็กซี่ดังนี้คือ

  1. ส่งรถ ซึ่งข้ออ้างนี้เป็นข้อฮอตฮิตของเหล่าบรรดาแท็กซี่ทั้งหลาย ที่เมื่อเจอปัญหารถติดและไม่ต้องการไปในบริเวณนั้น ส่วนมากจะอ้างถึงปัญหาการไปส่งรถไม่ทันหรือส่งรถล่าช้าจะทำให้โดนปรับได้ จะพบกับแท็กซี่ที่ขับบริเวณในตัวเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะช่วงเวลาบ่ายสามโมงเป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนเลิก และพนักงานกำลังเดินทางกลับบ้านนั่นเอง
  2. แก๊สหมด ซึ่งปัญหาแก๊สหมดของแท็กซี่นั้นยังคงมีให้เห็นทุกวัน บางคนนั้นเรียกถึงสามสี่คันกว่าจะมีแท็กซี่บางคันยอมไปให้ หรือมีบางคานที่ผู้โดยสารคะยั้นคะยอมากก็ยอมไปให้ แต่ก็ไปแวะเติมก๊าซที่ปั๊มเป็นเวลานานทั้งที่ยังกดมิเตอร์ให้ขึ้นไว้อยู่
  3. ไปคนละทาง ซึ่งข้ออ้างนี้จะใช้อ้างบ่อยในเวลากลางคืน เนื่องจากคนขับแท็กซี่นั้นจะอ้างว่าต้องการกลับบ้านและทางที่ผู้โดยสารต้องการไปนั้นอยู่คนละทางกัน จึงไม่สามารถไปให้ได้ แต่หากผู้โดยสารต้องการไปจริง ๆ นั้น จะคิดเป็นอัตราเหมาจ่ายไม่กดมิเตอร์ ซึ่งการเหมาจ่ายนั้นมีราคาสูงมากกว่าการกดมิเตอร์มากกว่าเท่าตัวเลยทีเดียว

ซึ่งนอกจากที่แท็กซี่จะให้บริการชาวไทยด้วยกันแบบนี้แล้วนั้น ยังเลือกให้บริการชาวต่างชาติมากกว่า อีกทั้งไม่มีการกดมิเตอร์แต่จะเป็นการเหมาจ่าย ไม่ว่าจะเป็นการเหมาไปตามสถานที่ต่าง ๆ หรือแม้แต่เหมาเป็นรายวันเพื่อเที่ยวชมในเมืองกรุง ซึ่งมีราคาที่แพงกว่าการกดมิเตอร์มากกว่าสามถึงห้าเท่าเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้แท็กซี่ที่ทำงานด้วยใจและประกอบอาชีพด้วยความซื่อตรงยังมีอีกมาก ขึ้นอยู่กับดวงของผู้โดยสารด้วยว่าจะไปเจอกับแท็กซี่คันไหน ดังนั้นหากเรียกแท็กซี่แล้วไม่ไป หรือมีการเรียกเก็บเงินที่แพงกว่าราคามาตรฐาน หรือไม่กดมิเตอร์ ควรเรียกคันใหม่จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด