ทำอาหารทานเอง เสน่ห์ปลายจวัก มัดใจคนในครอบครัว

ในปัจจุบันนี้มีผู้ที่สนใจหันมาทำอาหารเพื่อรับประทานเองมากขึ้น เนื่องจากการทำอาหารทานเองนั้นเราสามารถดูแลเรื่องความสะอาดของอาหาร รวมทั้งรสชาติของอาหารที่เราต้องการได้เป็นอย่างดี ซึ่งสังเกตได้จากในช่วงนี้มีรายการเรียลลิตี้โชว์แข่งขันการประกอบอาหารมากมายในทีวี ผู้เข้าแข่งขันที่ไม่ใช่เชฟหรือพ่อครัวแม่ครัวมาสมัครร่วมแข่งขันในรายการมากขึ้น และกำลังได้รับความสนใจ มียอดวิวทางช่องยูทูปสูงเป็นหลายล้านวิวเลยทีเดียว ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ที่หลงใหลในการปรุงอาหารนั้น ย่อมหาข้อมูลและคิดค้นผสมผสานเมนูสูตรใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย จนกลายเป็นอาหารฟิวชั่น ส่งผลให้มีร้านอาหารนานาชาติที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปเกิดขึ้นมากมายในปัจจุบันนี้ และแน่นอนว่าการทำอาหารเพื่อรับประทานเองภายในครอบครัวนั้นมีข้อดีอยู่มากมายดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

  1. ความสะอาด และนี่เป็นเหตุผลหลักที่ผู้คนส่วนมากนิยมซื้อวัตถุดิบกลับมาปรุงอาหารทานเองที่บ้าน เนื่องจากการทำอาหารเองนั้น สามารถล้างทำความสะอาดวัตถุดิบและอุปกรณ์เครื่องครัวได้มากตามความพอใจ และยังรู้แหล่งที่มาที่ไปของส่วนผสมในอาหารนั้นได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นับว่าปัจจัยข้อนี้เป็นข้อแรกเลยก็ว่าได้ที่คนหันมาทำอาหารทานเองภายในครอบครัว
  2. รสชาติที่ถูกปากของคนในครอบครัว แน่นอนว่าการทำอาหารเองนั้นเราสามารถใส่เครื่องปรุงรสต่าง ๆ ได้ตามความชอบโดยไม่จำเป็นต้องกลัวสิ้นเปลืองแต่อย่างใด หรือหากต้องการให้อาหารมีรสชาติเผ็ด เปรี้ยว หวาน หรือเค็มนั้น สามารถปรุงได้ตามความพอใจ และหากเมื่อทานไปแล้วยังรู้สึกว่าไม่อร่อย ยังสามารถนำอาหารกลับมาปรุงใหม่ได้
  3. ประหยัดค่าอาหาร เนื่องจากการซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเองนั้นจะซื้อได้ในราคาที่ถูกและเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อเราทำอาหารในแต่ละครั้งนั้นยังสามารถเก็บไว้รับประทานในมื้ออื่น ๆ ได้อีก หรืออาจนำวัตถุดิบมาใช้แค่ครึ่งเดียว และเก็บเอาไว้ทำอาหารในมื้อต่อไปได้โดยแช่ตู้เย็นไว้ ซึ่งวัตถุดิบที่เป็นผักหรือเนื้อสัตว์นั้นสามารถอยู่ได้นานหลายวัน
  4. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทำกิจกรรมในครอบครัว ซึ่งแน่นอนว่าการทำอาหารทานเองในครอบครัวนั้นจะใช้เวลาค่อนข้างมากในการเตรียมและการประกอบอาหาร ดังนั้นการมีลูกมือคอยช่วยเหลือหยิบจับทำให้ประหยัดเวลาในการทำอาหารไปได้ค่อนข้างมาก ซึ่งหากคนในครอบครัวช่วยกันแล้วนั้น จะทำให้เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของครอบครัวในการช่วยเหลือกัน และมีการสนทนาพูดคุยกันระหว่างการประกอบอาหารนั่นเอง

ซึ่งสำหรับคนที่ชอบทำอาหารและมีเสน่ห์ปลายจวักทั้งหลาย ควรเลือกที่จะประกอบอาหารทานเองมากกว่าที่จะไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งนอกจากเหตุผลดี ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังเพื่อเป็นการฝึกฝีมือของตนเองและพัฒนาให้ดีมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปต่อยอดเพื่อเปิดกิจการร้านอาหารได้ในอนาคต อีกทั้งยังทำเป็นอาชีพกับสิ่งที่ตนเองรักได้อีกด้วย

การจัดงานแต่งงานถือเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสังคมไทย

แน่นอนว่าการแต่งงานนั้นเป็นความฝันของคู่บ่าวสาวหลาย ๆ คน ที่ต้องการมีชีวิตคู่ที่สุขสม และต้องการจัดพิธีอันสมเกียรตินี้เพื่อเป็นหน้าเป็นตาในสังคมให้กับครอบครัว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในการจัดงานเลี้ยงต่าง ๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตามย่อมที่จะใช้เงินทองค่อนข้างมากในการจัดงานนั้น ๆ ทั้งสิ้น ยิ่งสำหรับงานแต่งงานแล้วด้วยจะหมดเงินไปมากกว่างานเลี้ยงสังสรรค์อื่นเลยก็ว่าได้ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายยิบย่อยที่ค่อนข้างมากนั่นเอง

ไม่ว่าจะเป็นค่าของชำร่วยสำหรับงานแต่งงาน ค่าพิมพ์การ์ดงานแต่งงาน ค่าชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่ชุดเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชุดไทยสำหรับงานเช้า หรือชุดสำหรับงานเลี้ยงในตอนเย็น หรือในบางรายอาจจะมีชุดตักบาตรตอนเช้า และชุดเข้าพิธีรดน้ำสังข์แยกต่างหากอีกด้วย อีกทั้งชุดราตรีสีขาวตอนหัวค่ำที่สวยงามสำหรับเจ้าสาวที่เตียมพร้อมจะเข้าหอแล้วนั้น และยังไม่รวมถึงชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้หลังจากงานกินเลี้ยงแล้วเสร็จอีก นี่ยังไม่ได้รวมถึงชุดของเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ในบางงานนั้นมีกันมากกว่า 10 คนเลยทีเดียว และนอกจากนี้ยังมีค่าแต่งหน้าทำผมทั้งของตัวบ่าวสาวเองและของเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาว รวมทั้งญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝั่งอีกด้วย ค่าจ้างตากล้องหรือช่างถ่ายภาพ ค่าสถานที่จัดงานเลี้ยง ค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าจัดพิธีรดน้ำสังข์มงคลสมรส ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ค่าจัดงานแต่งงานส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งยังไม่รวมกับค่าสินสอดทองหมั้นทั้งหลายและแหวนหมั้นที่ทางฝั่งเจ้าบ่าวจะนำมาขอเจ้าสาว

จึงทำให้เกิดเป็นธุรกิจออแกไนซ์รับจัดงานแต่งงานขึ้นมากมาย เนื่องจากช่วยประหยัดเวลาในการเลือกสิ่งของที่ใช้สำหรับงานแต่งที่เตรียมไว้อย่างครบครัน หรือสถานที่ในการจัดงานให้คู่บ่าวสาวเหนื่อยน้อยลง เนื่องจากมีผู้จัดงานมืออาชีพเข้ามาช่วยนับว่าเป็นการจัดงานได้อย่างลงตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกหาออแกไนซ์ที่ดีนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีข่าวออกมาให้เห็นในหลายครั้ง ว่าออแกไนซ์จัดงานแต่งงานนั้นหลอกลวงคู่บ่าวสาวมาแล้วหลายเจ้า จนทำให้คนที่ต้องการจัดงานแต่งงานนั้นต้องระแวดระวังเป็นพิเศษในการเลือกหาบริษัทที่จะเข้ามาดูแลจัดงานแต่งงานให้
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้มีเพียงฝ่ายออแกไนซ์ที่หลอกลวงคู่บ่าวสาวเพียงอย่างเดียว ซึ่งในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมานี้มีผู้ใช้เฟสบุ๊ครายหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับมีคู่บ่าวสาวคู่หนึ่งได้จ้างออแกไนซ์จัดงานแต่งงานและได้ติเตียนทุกอย่างในงาน รวมทั้งมีการจ่ายราคาค่าจัดงานเพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันระหว่างทั้งสองฝั่งจนเกิดเป็นดราม่าในสังคมโซเชียลปัจจุบันนี้

จากที่กล่าวมาแล้วนั้นจะเห็นได้ว่าการจัดงานพิธีมงคลสมรสนั้นถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและเหมาะสมอย่างยิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติตามกรอบธรรมเนียมประเพณีไทยที่ดีงาม เพื่อได้อนุรักษ์ไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้สืบทอดและทำตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้จัดงานควรจะตั้งอยู่ในสติและพิจารณาให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจเลือกออแกไนซ์ดี ๆ สักที่หนึ่ง อีกทั้งฝั่งออแกไนซ์เองก็ตามควรจะมีการปฏิบัติงานที่ซื่อตรงและทำให้ดีที่สุด เพราะในงานแต่งนั้นมีเพียงแค่ครั้งเดียวของคู่บ่าวสาว ดังนั้นเขาจึงต้องการสิ่งที่ดีที่สุด รวมทั้งควรมีสัญญาก่อนที่จะเริ่มทำการจัดงานทุกครั้งเพื่อความซื่อตรงและยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายนั่นเอง

“ครูเป็นหนี้” เพราะกู้ง่ายเกินไปสนองความต้องการทางสังคมจนไร้วินัยการเงิน

อาชีพครูบาอาจารย์ถือว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติทางสังคมและครูที่ดีก็มักจะได้รับการเคารพยกย่องจากนักเรียน ผู้ปกครองและบุคคลรอบข้าง ทำให้เกิดการแข่งขันสูงตั้งแต่การเริ่มต้นเข้าสู่วงการครู ซึ่งครูทุกคนจะต้องสอบแข่งขันโดยมีผู้เข้าร่วมแข่งขันทั่วประเทศเพียงเพื่อชิงเก้าอี้ครูไม่กี่ตำแหน่ง แต่กลับกันอาชีพมีเกียรตินี้ได้รับค่าตอบแทนแรกเริ่มค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอาชีพอื่น ๆ ซึ่งกว่าจะสามารถขอเพิ่มเงินเดือนได้นั้นครูต้องมีผลงานไปเสนอต่อหน่วยงานการศึกษาที่ตนสังกัดเพื่อให้ได้รับการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่ง โดยในแต่ละครั้งจะต้องใช้เวลาหลายปีสำหรับการเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการนี้ อีกทั้งประเทศไทยเป็นสังคมระบบอุปถัมภ์ ผู้ใดที่มีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังมักจะได้อยู่ในจุดที่ตนต้องการง่ายขึ้นกว่าคนปกติ

หลายคนอาจสงสัยว่าเพราะเหตุใดอาชีพครูในเมืองไทยจึงเป็นอาชีพที่มีหนี้สินมากกว่าอาชีพอื่น ดังที่กล่าวไปแล้วว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีเกียรติและได้รับความเชื่อถือจากสังคม ส่งผลให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ นั้นง่ายกว่าอาชีพอื่นโดยธนาคารมักจะปล่อยสินเชื่อให้บรรดาครูเหล่านี้ได้กู้เพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ประกอบกับเงินเดือนขั้นต่ำของครูซึ่งถือเป็นฐานเงินเดือนที่น้อยกว่าอาชีพอื่น ๆ ทำให้ครูต้องพึ่งการกู้หนี้ยืมสินเป็นประจำ อีกทั้งการเข้าสังคมเป็นเรื่องที่สำคัญกับคนบางกลุ่มที่ประกอบอาชีพนี้ ดังนั้นการกู้หนี้ยืมสินจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาและครูหลายคนจึงเป็นผู้ชำนาญด้านการกู้

เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมากลุ่มวิชาชีพครูรวมตัวกันกว่า 100 คน เพื่อประกาศปฏิญญามหาสารคาม เรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารออมสินพักหนี้ของตนในโครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป พร้อมประกาศให้ลูกหนี้ ช.พ.ค. ทั่วประเทศกว่า 400,000 คน ร่วมกันหยุดการชำระหนี้กับธนาคารออมสินตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ครูเหล่านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสังคมไม่ว่าจะเป็นสังคมทั่วไปหรือสังคมออนไลน์ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ว่าบุคคลนั้นจะประกอบอาชีพใดเมื่อทำการกู้สินเชื่อมาแล้วต้องชำระคืนตามสัญญาซึ่งรวมทั้งดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันไว้ มิฉะนั้นก็ควรถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเฉพาะบุคลากรทางการศึกษาซึ่งต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีเพื่อให้สมแก่การเป็นต้นแบบแก่สังคมต่อไป

จากการวิจารณ์ของสังคมทำให้หน่วยงานทางภาครัฐต้องออกมาเคลื่อนไหว โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมได้ออกประกาศเรื่องความต้องการหยุดชำระหนี้ของครู ช.พ.ค. ว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายเนื่องจากการไม่ชำระหนี้นั้นถือว่าหนีหนี้และจะต้องถูกฟ้องล้มละลายและหมดสภาพการเป็นข้าราชการ

ไม่ว่าบุคคลนั้น ๆ จะประกอบอาชีพใดสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือการทำสิ่งที่ถูกกฎหมาย โดยเฉพาะบุคลากรทางการศึกษาที่จะต้องปฏิบัติตนเป็นต้นแบบที่ดีแก่สังคมเพื่อไม่ให้เกิดการเอาเยี่ยงอย่างในการหาข้ออ้างเพื่อกระทำผิดกฎหมายต่อไป

 

“ขยะพิษ” เข้าไทยของนายทุนต่างชาติกับค่าตอบแทนมหาศาลแต่ชาวบ้านรับผลกระทบเต็ม ๆ

                เมื่อพูดถึงขยะพิษหลายคนอาจคิดถึงขยะจำพวกสารเคมีเช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า รวมทั้งสารเคมีจากโรงงาน แต่ในปัจจุบันขยะพิษนั้นยังมีชิ้นส่วนทางอิเล็กทรอนิกส์ร่วมด้วย ซึ่งขยะพิษดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีราคาสูงโดยเฉพาะการรับซื้อเป็นจำนวนมากจากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทต่างชาติมองเห็นถึงผลกำไรจากขยะราคาสูงที่สามารถนำมาขายต่อได้

การรับซื้อขยะทางอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากนั้นจะต้องถูกส่งต่อมายังประเทศปลายทางเพื่อทำการแยกชิ้นส่วน และส่งขายต่อไปอีกทีหนึ่งตามประเภท โดยการแยกชิ้นส่วนต้องทำด้วยมือจากแรงงานคน ส่งผลให้สารพิษสามารถเข้าสู่ร่างกายของแรงงานเหล่านั้นได้โดยง่าย อีกทั้งชิ้นส่วนของขยะบางส่วนที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้จะต้องถูกทำลายหรือปล่อยทิ้งไว้ให้ย่อยสลายตามธรรมชาติส่งผลให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักข่าวประเทศไทยได้รายงานว่าค้นพบโรงงานแยกขยะขนาดใหญ่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งภายในโรงงานนั้นเต็มไปด้วยชิ้นส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังถูกคัดแยกโดยคนงานจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยขยะพิษเหล่านี้ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนจากแผงวงจร โทรศัพท์มือถือ แบตเตอร์รี่และซีพียูจากคอมพิวเตอร์ ทางกรมมลพิษได้วัดค่าสารพิษพบว่าเกินกว่ามาตรฐานกำหนด สามารถส่งผลร้ายต่อร่างกายของผู้สูดดมให้พัฒนาไปถึงการเป็นมะเร็งได้ จากการสอบถามชาวบ้านโดยรอบพบว่าประสบกับปัญหาการสูดดมกลิ่มเหม็นจากการเผาสารเคมีของโรงงานแห่งนี้จนไม่สามารถเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ได้เพราะกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อเด็ก ๆ และผู้สูงอายุภายในบ้าน ซึ่งชาวบ้านได้ระบุอีกว่าตนได้ทำการร้องเรียนและยื่นเรื่องต่อตำรวจจากสน.ใกล้เคียงแต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากตำรวจตรวจได้แค่รอบโรงงานเท่านั้นไม่สามารถเข้าไปภายในได้

จนกระทั่งชาวบ้านทนมลพิษที่ต้องเผชิญทุกวันไม่ได้ จึงนำน้ำจากแหล่งน้ำใกล้เคียงส่งให้ห้องแล็ปเอกชนตรวจและพบว่าน้ำนั้นมีค่าตะกั่วและสารพิษอื่น ๆ เกินกว่าค่ามาตรฐาน หลังจากนั้นชาวบ้านจึงนำหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมไว้ได้ส่งให้กรมมลพิษขอหมายศาลเข้าตรวจโรงงานแห่งนี้และพบว่าเจ้าของโรงงานเป็นคนไต้หวันที่รับซื้อขยะอิเล็กทรอนิกส์จากโรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลกมาพักไว้เพื่อแยกชิ้นส่วนที่ไทยโดยผ่านการขนส่งทางเรือในน่านน้ำไทย ซึ่งได้ให้การเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่ขนส่งว่าเป็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์จนสามารถผ่านการตรวจสอบเข้ามาได้

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นพิษเหล่านี้ก็คือสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนโดยรอบที่ต้องทนอยู่กับสภาพแวดล้อมและอากาศที่เป็นพิษทำให้เกิดโรคเรื้อรังที่รักษาเป็นเวลานานก็ยังไม่หาย ดังนั้นเมื่อหน่วยงานทางภาครัฐได้รับการร้องเรียนเรื่องมลพิษจากชาวบ้านก็ควรเข้าไปตรวจสอบอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้มลพิษเหล่านั้นลุกลามเป็นวงกว้างจนคร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก

 

กลับสู่ตลาดแรงงานอีกครั้ง ค่านิยมใหม่ของคนไทยรุ่นใหญ่วัยเกษียณ สุขใจไม่ไร้ค่า

นับว่าเป็นอีกปัญหาใหญ่ที่หลายประเทศกำลังประสบคือปัญหาการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรวัยเกษียณ ทำให้รัฐต้องสร้างนโยบายใหม่ ๆ เพื่อรองรับผู้สูงอายุเหล่านี้ให้สามารถอยู่ได้โดยไม่กระทบต่อลูกหลาน นอกจากนี้ยังมีเงินเกษียณจากบริษัทที่ตนเคยสังกัดอยู่สำหรับค่าครองชีพในวันที่หยุดทำงาน แต่ทว่าหลายคนได้นำเงินในอนาคตก้อนนี้ไปใช้ในการหักล้างหนี้ที่เคยได้ก่อเอาไว้ ส่งผลให้เงินใช้จ่ายประจำวันต้องลดน้อยลงไปและในที่สุดกลายเป็นภาระของลูกหลาน ซึ่งสิ่งที่รัฐควรจะสนับสนุนนั้นไม่ใช่การแจกเงินก้อนใหญ่แต่เป็นการสร้างอาชีพให้รุ่นใหญ่วัยเกษียณผู้ยังไม่หมดไฟได้มีเส้นทางรายได้และเห็นคุณค่าของตัวเองไม่ตกอยู่ในสภาวะเครียดหรือซึมเศร้า

เมื่อเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้จัดตั้งศูนย์ลงทะเบียนสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการมีอาชีพ โดยมีผู้ลงทะเบียนกว่า 1,400 ราย และตำแหน่งงานว่างถึง 700 กว่าตำแหน่งทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน และมีผู้ได้บรรจุเข้าทำงานเป็นพนักงานประจำจำนวน 141 ราย สำหรับผู้ลงทะเบียนนั้นจะต้องเป็นผู้ที่เกษียณแล้วและมีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าอนุปริญญา ส่วนรายได้จากการทำงานคิดเป็นรายชั่วโมง ชั่วโมงละ 250 บาทและต้องทำงานให้ได้วันละ 3 ชั่วโมง ซึ่งอาชีพที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคืองานด้านการผลิต รองลงมาคืองานบริการ พนักงานธุรการ และนักแนะแนวสายต่าง ๆ

สำหรับปีนี้ทางภาครัฐก็ได้จัดกิจกรรมเพื่อผู้สูงอายุที่มีความสนใจต่อการสร้างอาชีพอีกเช่นกัน โดยกระทรวงพาณิชย์ได้จัดอบรมหลักสูตรการทำกาแฟเพื่อวัยเกษียณผู้ที่สนใจเรียนรู้เรื่องการเป็นบาริสต้ามืออาชีพ ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจจำนวนกว่า 200 ราย ซึ่งผู้สนใจทั้งหมดนั้นมีอายุมากกว่า 60 ปี ภายในงานได้มีการจัดอบรมจากนักธุรกิจด้านกาแฟระดับ World Class ตั้งแต่วิธีการคั่วบดและชงกาแฟ ไปจนถึงการทำ Latte Art นอกจากนี้ยังมีการอบรมเรื่องการทำธุรกิจกาแฟให้กับผู้ที่มีความสนใจนำความรู้ที่ได้รับไปสานต่อเพื่อสร้างธุรกิจทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยการอบรมนั้นมีตั้งแต่เทคนิคการบริหารงาน บริหารคน การจัดการ ไปจนถึงการทำความสะอาด นับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้สูงอายุที่มีความสนใจในอาชีพนี้ไม่ว่าจะเป็นการเป็นบาริสต้าหรือการสร้างธุรกิจกาแฟเป็นของตัวเอง

ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างนโยบายเพื่อให้ผู้คนอยู่ได้อย่างไม่ขัดสนนั้นไม่ใช่การแจกเงินแต่เป็นการสร้างอาชีพให้พวกเขาได้ฝึกทักษะและนำความสามารถนี้ไปใช้ให้เกิดรายได้ต่อการครองชีพของตนเอง สำหรับผู้สูงอายุแล้วการมีอาชีพรองรับในยามเกษียณไม่ใช่เพื่อรายได้เท่านั้นแต่ยังหมายถึงการสร้างคุณค่าให้ตัวเองถึงแม้จะอยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง นอกจากนี้ยังได้พบปะผู้คนพร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อที่จะไม่รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า เป็นการสร้างความสุขในใจได้อย่างแท้จริง

 

ผลกระทบเรือล่มที่ภูเก็ตทำคนจีนขยาดไม่กล้ามาเที่ยวเมืองไทยจริงหรือไม่ ?

หลายปีมานี้กระแสการท่องเที่ยวเมืองไทยดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวค่อนข้างต่ำประกอบกับนิสัยใจคอของคนไทยส่วนใหญ่เป็นคนใจดีซึ่งเป็นที่ถูกใจของนักท่องเที่ยวจีน นอกจากนี้การมาเที่ยวไทยยังได้เที่ยวชมสถานที่สวย ๆ และยังได้ซื้อหาของที่ระลึกในราคาถูกอีกด้วย ซึ่งการมาของคนจีนบางคนนั้นก็ไม่ได้มาเพื่อการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการมาเพื่อมองหาลู่ทางทำเลเพื่อลงทุนทำธุรกิจในอนาคต แต่ทว่าการท่องเที่ยวนั้นก็ไม่ได้พบกับสิ่งสวยงามเสมอไปเพราะความประมาทอาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้

ในช่วงเย็นของวันที่ 5 กรกฎาคม ได้เกิดเหตุการณ์เรือล่มกลางทะเลในบริเวณเกาะเฮ ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต ซึ่งเรือมีชื่อว่า “ฟีนิกซ์ พีซีไดฟ์วิ่ง” ถูกคลื่นซัดและจมหายไปพร้อมกับผู้โดยสารกว่า 100 ชีวิต โดยมีผู้ลอยคอขอความช่วยเหลือและผู้เสียชีวิตจำนวนมากซึ่งตามข่าวระบุว่าผู้โดยสารทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ในเวลาต่อมาทางการไทยสามารถช่วยชีวิตของผู้ลอยคอบางส่วนไว้ได้และทำการกู้ร่างของผู้เสียชีวิตที่ติดอยู่ภายในเรือเพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์และส่งกลับสู่ประเทศบ้านเกิดต่อไป

เหตุการณ์และความสูญเสียดังกล่าว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวหลายประเทศโดยเฉพาะชาวจีนเกิดความกลัวและไม่กล้ามาเที่ยวเมืองไทยอีก ทำให้ทางกระทรวงการท่องเที่ยวต้องเร่งสำรวจและสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่องเที่ยวเพื่อให้ไว้ใจและกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้ง ตามข่าวระบุว่าช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมของปีนี้เป็นช่วงที่ชาวจีนทั้งแบบที่วางแผนมาเที่ยวเองและแบบมากับทัวร์ได้ทำการยกเลิกทริปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เนื่องจากยังคงมีความวิตกกังวลเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางระหว่างทริปท่องเที่ยว

เป็นผลให้กระทรวงการท่องเที่ยวต้องกำชับกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นบริษัททัวร์หรือแม้กระทั่งห้างร้านตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ให้ระวังและบริการนักท่องเที่ยวอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ชาวจีนเกิดความเชื่อมั่นและกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีก ซึ่งสิ่งที่เป็นนโยบายแรกก็คือการออกโรดโชว์ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ในประเทศจีนเพื่อเป็นการโฆษณาให้นักท่องเที่ยวไว้ใจและกลับมาจับจ่ายใช้สอยในเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง

ในฐานะคนไทยแบบเราที่เป็นเจ้าบ้าน สิ่งที่ทำได้ก็คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาคอยช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวบ้านเราให้เกิดความสะดวกสบายและประทับใจในน้ำจิตน้ำใจของคนไทย ซึ่งสิ่งที่คนไทยทำได้ง่ายที่สุดคือการยิ้ม เนื่องจากบ้านเราได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งรอยยิ้ม ดังนั้นการยิ้มจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการสร้างความประทับใจโดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย

 

เรื่องราวดี ๆ ของคนแปลกหน้าช่วยกันเปลี่ยนใจคนคิดสั้นที่พยายามฆ่าตัวตาย

การได้เห็นสังคมที่อุดมไปด้วยคนดีนั้นเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ควรเผยแพร่และบันทึกเอาไว้ให้เป็นตัวอย่างต่อสาธารณะชนทั่วไป โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่มีการช่วยเหลือกันของคนแปลกหน้า เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน กำลังเดือดร้อนหรือเกิดความยากลำบาก จึงเข้าช่วยเหลือทันทีอย่างอัตโนมัติโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ถือว่าเป็นคนที่น่ายกย่อง หลายครั้งที่เราเห็นเหตุการณ์พยายามฆ่าตัวตายของคนที่สิ้นหวังกับชีวิต แต่ความโชคร้ายยังมีความโชคดี เพราะหลายครั้งที่มีพลเมืองดีผ่านมาและเข้าช่วยไว้ได้ทัน

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2018 ที่ผ่านมาที่รัฐมินเนโซตา ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งชายคนหนึ่งพยายามจบชีวิตตัวเองด้วยการกระโดดสะพาน แต่ในขณะนั้นได้มีพนักงานส่งเบียร์ขับรถผ่าน จึงทำการจอดรถและเข้าไปพูดคุย เพื่อให้ชายสิ้นหวังผู้นี้ได้ผ่อนคลายและใจเย็นลง ในระหว่างนั้นเองที่พนักงานส่งเบียร์อีกคนหนึ่งโทรแจ้งตำรวจ ซึ่งทางตำรวจก็ได้แนะนำให้พวกเขาพูดคุยยื้อเวลาเพื่อรอเจ้าหน้าที่ไปถึงสะพานดังกล่าว การพูดคุยกันครั้งนี้ทำให้ชายผู้นี้สงบลง ทางพนักงานส่งเบียร์จึงนำเบียร์จากกล่องที่อยู่ในรถมาเปิดให้เขาดื่ม และระหว่างนั้นเองที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าชาร์จเพื่อนำชายคนนี้ส่งโรงพยาบาล

สำหรับเมืองไทยเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยจิตใจสาธารณะก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกเช่นกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ ปี 2016 โดยเกิดขึ้นที่บนสะพานพุทธฯ เมื่อหญิงสาวอายุราว ๆ 20 ปี ได้ทำการปีนขึ้นไปบนขอบสะพานเพื่อหวังกระโดดลงมาปลิดชีพตัวเองท่ามกลางสายตานับร้อยของประชาชนละแวกนั้น แต่โชคดีที่ตำรวจและพนักงานกวาดถนนไปพบเข้า จึงตัดสินใจเข้าไปช่วยพูดคุยไกล่เกลี่ยและให้กำลังใจ หลังจากนั้น 20 นาที สาวคนนี้ก็ลงมาจากขอบสะพานพร้อมร้องไห้และโผเข้ากอดพนักงานกวาดถนน โดยภาพและเรื่องราวนี้ได้ถูกเผยแพร่ไปในโลกโซเชียลทำให้ผู้คนต่างพากันชื่นชมทั้งตำรวจและพนักงานกวาดถนนในฐานะพลเมืองดีที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

อารมณ์ชั่ววูบจากความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตทำให้คนบางคนตัดสินในจบชีวิตตัวเองไปกับปัญหาที่แก้ไม่ตก แต่โชคดีที่ดวงยังไม่ถึงคาดทำให้พบเจอกับคนแปลกหน้าซึ่งเป็นพลเมืองดีที่คอยช่วยให้เขาเหล่านี้ได้สติกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ ดังนั้นไม่ว่าใครจะประสบพบเจอกับปัญหาประเภทใดก็ควรตระหนักไว้เสมอว่าชีวิตมีค่าและยังมีคนที่รักเราอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อรอให้เรากลับไปหาพวกเขาในวันที่เราไม่เหลือใคร

 

เมื่อเทคโนโลยีถูกใช้ผิดทาง กลายเป็นปมบาดหมางสร้างความขัดแย้งข้ามประเทศ

                เป็นที่ทราบกันดีว่าเทคโนโลยีหลายแขนงถูกสร้างมาเพื่อให้ชีวิตเราง่ายขึ้น เชื่อมต่อโลกในภูมิภาคต่าง ๆ ให้แคบลงทำให้ผู้คนได้มีโอกาสเห็นมุมมองที่แปลกใหม่จากดินแดนอื่นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เทคโนโลยีทำให้ผู้คนที่อยู่ไกลกันได้ใกล้กันมากขึ้น ซึ่งคุณประโยชน์ของเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้นมีมากมายจนไม่สามารถอภิปรายได้หมด

แต่ในทางกลับกันเหรียญนั้นมี 2 ด้าน เทคโนโลยีก็เช่นกัน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าใช้ในทางใด โดยเฉพาะกับคนที่นำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิดทำให้ผลร้ายกระจายออกสู่สังคมในวงกว้างดังเช่นข่าวต่อไปนี้

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2555 ได้มีการบุกทำลายและเผาสถานทูตของสหรัฐอเมริกาหลายแห่งทั่วโลก ส่งผลให้เอกอัครราชทูตอเมริกาประจำลิเบียต้องเสียชีวิตพร้อมกับเจ้าหน้าที่อีก 3 คน เนื่องจากผู้กำกับหนังชาวอเมริกันผู้ไม่เปิดเผยนามได้สร้างหนังประเภทศาสนาชื่อว่า “อินโนเซนส์ ออฟ มุสลิม” ซึ่งเป็นหนังที่ชาวมุสลิมทั่วโลกให้การวิจารณ์เป็นเสียงเดียวกันว่าหนังเรื่องนี้หมิ่นต่อศาสดาโมฮัมหมัดของพวกเขา การส่งต่อคลิปบางส่วนจากหนังผ่านสังคมออนไลน์ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจนชาวมุสลิมทั่วโลกออกมาเดินประท้วงเพื่อเรียกร้องให้นำตัวคนทำหนังมาลงโทษและขอให้ทำลายหนังเรื่องนี้ทิ้ง ซึ่งทางการสหรัฐอเมริกาเองก็ไม่ได้นิ่งดูดายโดยได้ทำเรื่องไปทาง Google และ YouTube เพื่อให้ถอดหนังดังกล่าวออกจากคลังการค้นหาแต่ก็ไม่เป็นผล ส่งผลให้หนังและคลิปจากหนังบางส่วนถูกส่งต่อผ่าน Social Network ไปทั่วโลก จนชาวมุสลิมลุกฮือออกมาประท้วงกันที่หน้าสถานทูตสหรัฐประจำประเทศของตนและได้ลุกลามไปถึง 26 ประเทศทั่วโลกรวมทั้งอียิปต์ ตูนีเซีย เลบานอน เยเมน ซูดาน ออสเตรเลีย อินโดนีเซียและมาเลเซีย แต่ที่รุนแรงที่สุดอยู่ใน 3 ประเทศคือซูดาน อียิปต์และตูนีเซีย

สำหรับในเมืองไทยกรณีเช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านเมื่อ โต อดีตนักร้องนำวงซิลลี่ฟูลซึ่งปัจจุบันนับถือศาสนาอิสลามได้ออกมาแสดงความคิดเห็นทางศาสนาผ่าน Social Media ว่าพระพุทธรูปเป็นเพียงแค่ปูนปั้นที่แตกได้ และไม่ได้มีสิ่งศักดิ์อยู่ในนั้นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือพระเจ้าที่ประเมินค่าไม่ได้และไม่สามารถไปสถิตอยู่ที่ใดได้ เนื่องจากพระองค์มีความยิ่งใหญ่กว่าสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ หลังจากความเห็นของเขาถูกเผยแพร่ทำให้ชาวไทยส่วนใหญ่ผู้นับถือศาสนาพุทธออกมาวิจารณ์กันอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้โตต้องออกมาชี้แจงและขอโทษผ่านรายการข่าวในช่องโทรทัศน์

การแชร์หรือส่งต่อสิ่งที่กำลังเป็นกระแสในสังคมนั้น คนแชร์ควรพิจารณาก่อนว่าเป็นสิ่งที่ล่อแหลมหรือยั่วยุทางอารมณ์จนสร้างความร้าวฉานต่อผู้พบเห็นหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นละเอียดอ่อนอย่างศาสนาซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะอาจทำให้เสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินจากความคะนองของผู้คนก็เป็นได้ ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีที่ดีควรหลีกเลี่ยงการเป็นสาเหตุของความร้าวฉานแต่ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คนในวงกว้างจะดีกว่า

 

อุทาหรณ์ “อาการวูบ” หมดสติจนต้องหามส่งโรงพยาบาลของคนดัง ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

“งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข” เชื่อว่าหลายคนใช้คตินี้เป็นเครื่องเตือนใจเพื่อให้ขยันทำงานหาเงินสำหรับค่าครองชีพประจำตัวหรือค่าใช้จ่ายของครอบครัว ส่งผลให้ต้องประสบปัญหาสุขภาพจากการโหมงานหนัก ซึ่งหลายครั้งที่ร่างกายใช้วิธีเตือนด้วยอาการผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้เรามองข้ามความผิดปกตินั้นเพราะเชื่อว่าร่างกายยังแข็งแรงและพร้อมที่จะสู้กับงานหนักทุกประเภทที่ประดังประเดเข้ามา ด้วยใจสู้แต่ร่างกายที่ไม่พร้อมทำให้เกิดปัญหาสุขภาพแบบเฉียบพลัน โดยเรามักจะเห็นตัวอย่างการทำงานหนักจนร่างกายอ่อนล้าจากข่าวของคนดังอยู่บ่อย ๆ ซึ่งเรื่องราวของผู้คนเหล่านี้เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนจิตใจให้ทำงานแต่พอดีและรักษาสุขภาพสม่ำเสมอ

ล่าสุดได้มีการรายงานข่าวด่วนถึงการโหมงานหนักของดาราจนเกิดอาการวูบกลางกองถ่าย โดยใครจะเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันของดาราขาร็อครุ่นใหญ่อย่าง อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ซึ่งคนใกล้ชิดเปิดเผยว่าคุณอ๊อฟมีอาการหมดสติระหว่างการถ่ายทำละครจนต้องหามส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน ภายหลังแพทย์ได้ระบุว่าคุณอ๊อฟมีอาการของเส้นเลือดในสมองตีบจนต้องเข้ารับการรักษาอยู่ภายในห้อง ICU ส่งผลให้การถ่ายทำละครต้องชะงักลง นอกจากนี้คอนเสิร์ตของคุณอ๊อฟและเหล่าเพื่อน ๆ นักร้องที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้าต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพื่อให้คุณอ๊อฟได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ก่อนจึงจะสามารถประกาศวันจัดงานที่ชัดเจนได้ ซึ่งขณะนี้คุณอ๊อฟได้ออกจากห้อง ICU แล้วและย้ายมาพักฟื้นที่ห้องปกติเพื่อรอดูอาการ หลังจากดีขึ้นจึงจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้

แต่เรื่องโชคดีนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนเสมอไป เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา เฮียนอส หรือนายอภิสิทธิ์ อภิสุขสิริ ผู้ดำเนินรายการสปอร์ตไกด์ FM 99 ACTIVE  RADIO ถูกญาติพบว่านอนหมดสติอยู่ในบ้านพักย่านคู้บอน จนต้องเรียกรถมูลนิธิเพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ได้ทำการปั๊มหัวใจอยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลและไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้ ต่อมาได้มีการให้ข้อมูลจากครอบครัวว่าเฮียนอสมีโรคประจำตัวคือ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและโรคเบาหวาน แต่ไม่คิดว่าจะมีภาวะของโรคหัวใจแทรกซ้อนจนเกิดอาการวูบเช่นนี้ ซึ่งหลังจากออกจากโรงพยาบาลครอบครัวจะนำร่างของเฮียนอสไปบำเพ็ญกุศลตามหลักศาสนาต่อไป

เป็นที่ทราบกันดีว่าอาการวูบเปรียบได้กับสัญญาณเตือนสุดท้ายว่าร่างกายถึงขีดจำกัดแล้ว บางคนโชคดีที่ในขณะวูบนั้นศีรษะไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแต่บางคนกลับโชคร้ายต้องเสียชีวิตจากอาการวูบ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้ร่างกายต้องใช้สัญญาณเตือนที่อันตรายเช่นนี้ เพียงแค่คุณดูแลสุขภาพและเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อค้นหาโรคภัยที่หลบซ่อนอยู่และรักษาให้ได้ทันท่วงทีจะได้ไม่เกิดการสูญเสียที่ไม่คาดฝันให้เป็นที่เศร้าใจของครอบครัว

 

สันติภาพของโลกไม่มีวันตายที่ไม่ควรหลงลืมของ โคฟี่ อันนัน และ เนลสัน แมนเดลา

เมื่อพูดถึงสงครามหลายคนอาจคิดถึงความสูญเสีย แต่จะมีสักกี่คนที่อุทิศตนเพื่อให้โลกเกิดสันติสุขแม้ว่าจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลความเจริญก็ตาม การอุทิศตนเพื่อให้สังคมของตนได้รับความสงบสุขนั้นนำมาซึ่งความนับถือจากคนทั่วโลกเมื่อได้รับทราบเรื่องราวการต่อสู้ของบุคคลเหล่านี้ จนเกิดเป็นกระแสการเรียกร้องอิสระภาพและความเท่าเทียมกันของทุกคนในสังคม ถึงแม้ว่าผู้นำการเรียกร้องนี้จะต้องจากโลกไป แต่การเคลื่อนไหวเพื่ออิสระภาพและสันติสุขซึ่งมาจากอุดมการณ์ของพวกเขานั้นยังคงอยู่และถูกสืบทอดเพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงความเท่าเทียมของมวลมนุษยชาติ

เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาโลกได้สูญเสียผู้เป็นปูชนียบุคคลด้านสันติภาพนั่นก็คือ นายโคฟี่ อันนัน ชาวผิวสีคนแรกของประวัติศาสตร์ที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ ผู้ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมและเรียกร้องเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV ซึ่งเขาเสียชีวิตอย่างสงบหลังจากป่วยได้ไม่นานที่บ้านพักในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ สำหรับผลงานที่โดดเด่นของนายอันนันก็คือ เขาได้มีบทบาทในการเป็นสื่อกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศให้กับอิรัค ไนจีเรีย เลบานอนและอิสราเอล ผลงานครั้งนั้นทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพและได้เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติอีกเป็นสมัยที่ 2 ถึงแม้ว่าโลกได้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักนี้ไปแล้วแต่ปณิธานของเขาก็ได้ถูกส่งต่อไปยังสมาชิกและองค์กรทางมนุษยธรรมทั่วโลกเพื่อให้สานต่อเจตนารมณ์การสร้างสันติภาพโลกของบุคคลสำคัญผู้นี้

ถ้าใครยังจำกันได้ราว ๆ 10 กว่าปีก่อนเรามักจะเห็นชายผิวดำกับใบหน้าเปื้อนยิ้มภายใต้ร่องรอยของกาลเวลา เขาผู้นี้มีชื่อว่า เนลสัน แมนเดลา นักต่อสู้ด้านมนุษยธรรมเพื่อความเท่าเทียมของชาวแอฟริกัน แมนเดลาเกิดในครอบครัวของผู้ครองนครในแอฟริกาแต่เขาก็ไม่ได้เสวยสุขอยู่บนทรัพย์สมบัติและเฝ้ามองดูความยากลำบากของชาวเมือง แต่กลับกันเขาต่อสู้เพื่อความเสมอภาคของคนผิวดำจนพัฒนาไปสู่การตั้งกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งทำให้เขาต้องถูกจำคุกถึง 27 ปี การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้แมนเดลากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเท่าเทียมที่ไม่ใช่เพียงชาวผิวสีเท่านั้นแต่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกโดยเฉพาะประชาชนในประเทศที่มีปัญหาเรื่องเชื้อชาติ จนกระทั่งปี 2556 เนลสัน แมนเดลาได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคปอดติดเชื้อในวัย 95 ปี แต่ชื่อของเขายังคงถูกจารึกไว้ในฐานะของพ่อพระของชาวผิวสี

การต่อสู้ของนักมนุษยธรรม 2 ท่านนี้ถือได้ว่าเป็นการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมของพลเมืองโลก เนื่องจากอุดมการณ์และคติสอนใจนั้นยังคงอยู่ ให้กับชนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงการมีจิตใจแห่งความรักและความเสมอภาคกันต่อเพื่อนมนุษย์ซึ่งเป็นรากฐานของการอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขในสังคมปัจจุบันนี้